ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอนที่ 10 “ความรักแบบบาร์ตส์ๆ”

วาทกรรมแห่งผู้ตกอยู่ในห้วงรัก (1)

“สังคมปัจจุบันขาดแคลนถ้อยคำที่จะใช้ถกเถียงในเรื่องราวของความรัก”

โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) นักสัญวิทยาชาวฝรั่งเศส

 

ก้าวเข้าไปในร้านหนังสือต่างประเทศสักร้าน บอกกับใครสักคนที่มีหน้าที่เฝ้าร้านแห่งนั้น บอกเขาว่าคุณกำลังสนใจในเรื่องราวของความรัก

บอกกับเขาว่าหาหนังสือสักเล่มที่พูดถึงมันอย่างชาญฉลาด ข้อแม้มีเพียงขอให้มันเบามือ คุณต้องเดินทางต่ออีกไกล จะไปแห่งหนใดไม่อาจรู้ได้ แต่คุณปรารถนาจะใช้ช่วงเวลาแห่งการเดินทางสนอกสนใจในความรัก

เปล่าเลย คุณไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอใครในการเดินทาง ไม่มีความคิดฝันฟุ้งเฟ้อแบบนั้น

คุณเพียงอยากรู้ว่าเพราะอะไรหรือชีวิตรักในช่วงที่ผ่านมาของคุณจึงไม่สมหวัง

คุณเฝ้าขบคิดถึงมันวันแล้ววันเล่า และจบลงด้วยคำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจ มันเป็นสิ่งที่ไกลจากสติปัญญาของตัวคุณ

หยิบยื่นงานเขียนของนักปราชญ์สักคนให้ผมเถิด คุณกล่าวกับใครสักคนที่มีหน้าที่เฝ้าร้านนั้น หยิบยื่นงานเขียนของเขาที่ว่าด้วยความรักให้ผม ใครสักคนที่มีหน้าที่เฝ้าร้านนั้นเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือ

และแล้วคุณก็ได้รับหนังสือเล่มนี้มา

 

หน้าปกหนังสือเป็นสีดำสนิทมีข้อความบอกว่ามันเป็นเรื่องราวของความรักอย่างชัดแจ้ง A Lover”s Discourse -วาทกรรมแห่งผู้ตกอยู่ในห้วงรัก

เรื่องราวในหนังสือเริ่มประกอบไปด้วยส่วนที่กระจัดกระจายของความรัก หรือ Fragment จำนวนมาก

อาทิ สภาวะของการนอนอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนรัก สภาวะของการเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์หรือการติดต่อจากคนรัก

ผู้เขียนรื้อ ถอดองค์ประกอบทั้งหลายของความรักผ่านทางมุมมองของจิตวิทยา ปรัชญา และถ้อยคำภาษา ตัวละครในหนังสือเริ่มต้นสำรวจแง่มุมต่างๆ ของความรักผ่านสิ่งเหล่านั้น

และคุณในฐานะคนอ่านเริ่มต้นสำรวจความรักของตนเองด้วยการสวมบทเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร

 

“ในชีวิตของผม การเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์จากคนที่เคยรักเกิดขึ้นในวัยแรกรุ่น ในท้องถิ่นที่แม้ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงก็ตามที แต่การมีโทรศัพท์บ้านกลับเป็นสิ่งที่เกินฝัน เด็กสาวจากโรงเรียนข้างเคียงที่แม้ว่าที่พักของเธอจะอยู่ในซอยเล็กๆ แถบอุดมสุข แต่ที่นั่นมีโทรศัพท์ให้เธอใช้ติดต่อกับผู้คนอื่นได้อย่างสะดวก แม้ว่าผมจะได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมา แต่อุปสรรคอื่นในการฝากรักต่อเธอก็มีอยู่มากมาย ไม่มีระบบเสียงรอสาย ไม่มีระบบฝากข้อความ หากโทร.ไปในเวลาที่คนอื่นโทร.หาเธอ สัญญาณที่บ่งบอกว่าปลายสายไม่ว่างก็จะปรากฏก้องในหูของผม หลังจากนั้นหากเธอคิดถึงผม ไม่มีทางใดอื่นที่เธอจะติดต่อผมได้ ผมต้องเป็นฝ่ายติดต่อเธอหากต้องการจะได้ยินเสียงเธอ และหากการติดต่อในครั้งแรกล้มเหลว ผมต้องติดต่อเธออีกและอีก ความพยายามคือบทพิสูจน์แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะมาถึงในเวลาที่เนิ่นนานและเนิ่นนานเหลือเกินสำหรับความเงียบในคืนนั้นๆ

ทุกคืน ก่อนถึงเวลานัดหมายของเรา ผมจะเดินออกจากบ้านกำกระปุกใส่เหรียญบาทที่หามาได้ไว้ในมือ ตู้โทรศัพท์สาธารณะนั้นอยู่ไกลจากบ้านของผมราวสิบห้านาทีด้วยการเดิน แต่ละก้าวที่เดินไปในความมืดและไฟถนน ผมจะครุ่นคิดถึงเธอ แต่ละก้าวที่เดินไปในความมืดและเสียงแมลงค่ำคืน ผมจะคิดถึงประโยคแรกที่ผมจะพูดคุยกับเธอ หากวันนี้เป็นวันจันทร์ ผมจะสอบถามเธอถึงความน่าเบื่อหน่ายของการเรียนในวันแรกของสัปดาห์ หากวันนี้เป็นวันกลางสัปดาห์ เช่น พุธหรือพฤหัส ผมจะสอบถามเธอถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เธอได้กระทำ เช่น การซ้อมว่ายน้ำหรือการเป็นผู้นำการสวดมนต์ของห้อง แม้ว่าจะอยู่ในชั้นมัธยมสามปีเดียวกับผม แต่เธอแลดูเป็นเด็กสาวที่เป็นหญิงสาวเกินวัย ผมพบเธอครั้งแรกในกิจกรรมกีฬาสีระหว่างโรงเรียนของเรา ภาพของเธอที่กระโจนลงสระติดตรึงในความทรงจำของผม ภาพของเธอที่ส่งเสียงนำร้องเพลงเชียร์ของโรงเรียนก้องอยู่ในหูผม เธอเป็นเด็กสาวที่ชอบทำกิจกรรมและนั่นถือเป็นหนึ่งในข้อแม้ส่วนตัวของผมที่ผมต้องไถ่ถามเธอในทุกสัปดาห์ หากเป็นวันศุกร์ผมจะสอบถามเธอว่าเราจะพบกันได้ไหมในช่วงสุดสัปดาห์ กิจกรรมของเราทั้งคู่นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการไปเที่ยวห้างเล็กๆ แห่งหนึ่งที่สำโรง เราทั้งคู่จะทานขนมด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกันเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมงก่อนที่ผมจะไปส่งเธอยังสระว่ายน้ำใกล้บ้าน หลังจากนั้นผมจะกลับบ้าน และรอเวลาโทรศัพท์หาเธอในยามค่ำว่าเธอเหน็ดเหนื่อยเพียงใดและสนุกสนานมากเพียงใดกับกิจกรรมวันนี้ นั่นคือบทสนทนาในช่วงสุดสัปดาห์ ทุกอย่างเวียนวนเช่นนี้ในเวลาหนึ่งอาทิตย์ และเวียนวนเช่นนี้ตลอดความสัมพันธ์ระหว่างเรา”

 

หลังจากอ่านข้อความใน “วาทกรรมแห่งผู้ตกอยู่ในรัก” ไปได้ชั่วครู่ คุณเริ่มรู้สึกว่าข้อความในหนังสือกำลังเยียวยาคุณ

มันพาคุณย้อนกลับไปในอดีต

เปิดบาดแผลของคุณให้คุณได้สัมผัสและมองเห็น

มันปลุกเร้าและทำให้คุณได้เห็นสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต

ความรักที่ไม่สมหวังไม่ได้อุบัติขึ้นลอยๆ มันมีที่มาและที่ไปอันชัดแจ้ง เพียงแต่ว่าคุณไม่อาจมองเห็นและเข้าใจมันได้ในโมงยามขณะนั้น

ความเห็นแก่ตัวของตัวละครในเรื่องทำให้คุณตระหนักถึงความเห็นแก่ตัวของตนเอง

ความลุ่มหลงของตัวละครในเรื่องทำให้คุณชัดแจ้งในความลุ่มหลงของตัวเอง

ความรักของตัวละครเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ด้วยการลดทอนคู่รักของเขาเป็นเพียงสิ่งของที่ครอบครองได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายสูญสลายไป

หากแต่เขาไม่สนใจ

ความลุ่มหลงในคนรักของเขามันมากพอที่จะทำให้เขาไม่ยอมสูญเสียเธอไปในทุกกรณี

ในขณะที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ดำเนินไป

ความหึงหวง ความไม่มั่นคง ความกระวนกระวาย ความพึ่งพิงอย่างหนักหน่วง ก่อกำเนิดขึ้นตลอดเวลา

แต่เขาเสแสร้งไม่ทบทวนหรือพิจารณามัน และในที่สุดเมื่อความสัมพันธ์จบลง เขาจึงตระหนักได้ถึงความว่างเปล่า ความไร้แก่นสารทั้งปวงของความสัมพันธ์

เขาผู้เป็นตัวละครภายในเรื่องไม่หลงเหลือแม้กระทั่งตัวตนของตัวเอง

“ฉันได้โยกย้ายตัวตนของตนไปสู่คู่รักของฉันและเมื่อถึงวันเวลาที่ฉันไม่มีเขาแล้วอีกต่อไป ฉันก็ไม่อาจมองหาตนเอง ฉันไม่อาจฟื้นฟูตนเองขึ้นใหม่ได้ ฉันได้ดับสูญสลายไปแล้ว ตลอดกาล”

 

“กิจกรรมต่อเนื่องที่ว่านั้นทำให้ปีการศึกษาดังกล่าวของผมมีความหมาย ผมเรียกปีการศึกษาก่อนหน้านั้นว่าเป็นปีการศึกษาก่อนที่ผมจะได้เจอเธอ และเรียกปีการศึกษาหลังจากนั้นว่าเป็นปีการศึกษาหลังจากที่ผมได้พบกับเธอ การพบเจอเธอเป็นหมุดหมายอันสำคัญของชีวิตผม ผมมีตัวตนขึ้นในฐานะเด็กหนุ่มที่ได้รักเธอ ที่ได้ฟังน้ำเสียงจากเธอในทุกค่ำคืน ผมอวดรูปภาพของเธอกับเพื่อนในชั้นเรียน เล่าให้พวกเขาฟังว่าเราทั้งคู่สนิทสนมกันมากเพียงใด สมุดบันทึกที่เธอเขียนถึงผม ผมอวดมันให้ใครต่อใคร ปากกาหมึกซึมที่เธอซื้อให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด ผมอวดมันกับใครต่อใคร ผมมีชีวิตอยู่ในเงาของเธอ ร่มเย็น สุขสงบและเป็นอมตะอยู่ในนั้นจนกระทั่งถึงวันที่เธอจากผมไป”

การจากไปของคนรักของตัวละครถูกเปรียบเปรยในหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นดังการหายลับตาไปของแม่เมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กไม่รู้ความ

เมื่ออ่านถึงถ้อยความเหล่านี้ คุณรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด

โรล็องต์ บาร์ตส์ ชายผู้เป็นผู้เขียนกล่าวว่าในวัยเด็ก ทุกครั้งที่แม่ผละจากเราไป เราจะคิดว่าแม่จะไม่มีวันกลับมา

ความรู้สึกเจ็บปวดจากการหายลับไปของแม่รุนแรงเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เราร้องไห้ เสียใจ คร่ำครวญ จนในที่สุดแม่ก็กลับมา และเราเริ่มตกอยู่ในวังวนที่ว่ายิ่งเราร้องไห้ คร่ำครวญ แสดงความเสียใจมากเพียงใด คนรักของเราจะกลับมาเช่นเดียวกับแม่

แม่กลับมาหาเราแต่แล้วแม่ก็ผละจากเราไปอีก

เราเริ่มคุ้นชินกับการหายลับตาไปของแม่

เราเสียใจน้อยลง

แต่เราก็ยังเสียใจอยู่นั่นเอง

การผละจากไปของแม่ทำให้เราพบว่าไม่มีความรักใดที่มั่นคง การผละจากไปของคนรักที่ไม่มีวันกลับมาจึงรุนแรงเสมอเท่ากับการหายตัวไปครั้งแรกของแม่

“จู่ๆ เธอก็ไม่รับโทรศัพท์อีกต่อไป มันเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนการสอบไล่ปลายปี ในวันแรกผมคิดว่าเธอคงวุ่นวายกับการหาโรงเรียนใหม่ที่จะเรียนต่อในชั้นมัธยมปลาย แม่ของเธอเป็นคนรับสายโทรศัพท์ของผม แม่ของเธอบอกผมว่าเธอไปท่องหนังสือที่บ้านของเพื่อนและขอค้างคืนที่นั่น แต่เมื่อวันรุ่งขึ้นแม่ของเธอก็เป็นคนรับโทรศัพท์อีก คราวนี้แม่ของเธอบอกว่าเธออยากเก็บตัวกับการซ้อมว่ายน้ำและทำให้ต้องใช้เวลากับตำรามากกว่าการคุยโทรศัพท์ ผมยอมรับเหตุผลเหล่านี้โดยดุษฎี แต่จากวันที่หนึ่งสู่วันที่สอง วันที่สามสู่วันที่สี่ ผมเดินกลับจากตู้โทรศัพท์ด้วยความเศร้า นับก้าวเดินก่อนจะถึงบ้าน แต่ละก้าวแทนความคิดถึงทั้งมวล ทั้งจากใบหน้า น้ำเสียงและความทรงจำที่มีต่อตัวเธอ ผมไปดักรอเธอที่หน้าโรงเรียน แต่ไร้ผล เธอไม่ปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกต่อไป แม่ของเธอใช้รถเก๋งคันงาม ติดฟิล์มหนาทึบเล็ดลอดสายตาผมไป ความสัมพันธ์ของเรายุติลงง่ายๆ เช่นนั้นเอง การเริ่มต้นใช้เวลานานนับปี แต่การจบสิ้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง”