ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | โล่เงิน |
เผยแพร่ |
พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข หรือ “บิ๊กหมาย” ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 34 ขึ้นชื่อตำรวจสายตงฉิน โด่งดังด้านการปราบยาเสพติด เจ้าของวลีเด็ด “ผมจะทำให้มันจนกว่าขอทานให้ได้”
กว่าจะมาถึงจุดนี้ พล.ต.ท.สมหมายออกตัวว่า เป็นตำรวจที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดย่างก้าวเข้ามารับตำแหน่งในนครบาล เรียกได้ว่าเป็น “ตำรวจภูธร” สายบู๊ ทำงานแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง ผบช.ปส. ตลอด 2 ปี นายตำรวจผู้นี้ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้การปราบปรามยาเสพติดให้สิ้นซาก
แต่เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า พล.ต.ท.สมหมายจะก้าวสู่ข้าราชการในวัยเกษียณแล้ว หลังจากที่เข้ารับราชการมากว่า 40 ปี
“โล่เงิน” สัมภาษณ์บทบาทชีวิตหลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
“พล.ต.ท.สมหมาย” เล่าว่า พื้นเพเป็นคนกรุงเทพมหานคร เป็นลูกแม่ค้าในตลาดยิ่งเจริญ
ด้วยเพราะเห็นพฤติกรรมของเหล่าพวกนักเลงหัวไม้ พวกชอบรีดไถ จึงได้ผันตัวเองมาเข้าสอบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ออกจากรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 ก็ไปเป็นตำรวจภูธรอยู่ สภ.ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นหัวหน้าหมวดโจมตี หวดโจรเขมรกระเจิง อยู่แถบภาคอีสานประมาณ 10 ปี ก่อนที่จะย้ายมาที่ สภ.เมืองนครราชสีมา
จึงได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ เข้ารับตำแหน่งป็นสารวัตรกองสืบ บช.ภ.2 รอง ผกก. หัวหน้า สภ.กุดชุม ยโสธร ก่อนกลับมาเป็นรอง ผกก.สส.ภ.3 ผกก.สส.ภ.3 ผู้การบุรีรัมย์ ผู้การเชียงใหม่ รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.
ก่อน “บิ๊กหมู” พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เพื่อนร่วมรุ่นจะดึงกลับเข้ามาช่วยงานปราบปรามและได้รับเลือกให้นั่งเก้าอี้ ผบช.ปส. จนถึงปัจจุบัน
ตลอดชีวิตราชการของนายตำรวจผู้นี้ เล่าว่า “เราทำงานอยู่กับชาวบ้านมาเยอะ เราเข้าใจเขา และช่วยเหลือพวกเขาตลอด เพียงแต่เป็นคนตรงๆ อะไรดีก็บอกดี ไม่ดีก็จับ ยิ่งช่วงบ้านเมืองไม่สงบถ้าไม่เริ่มต้นทำให้ประชาชนเห็นว่าเราอยู่ตรงกลาง เขาก็จะไม่เชื่อถือ เราเป็นนายคน มีลูกน้องเป็นพัน จะให้ตัวเองมาแกว่งไปแกว่งมา ไม่อยู่เป็นกลางแล้วใครจะนับถือ และไม่เคยเอาเงินใคร ตั้งแต่เด็กเราเกลียดการรีดไถมากที่สุด เพราะเราเคยโดนมาแล้วเรารู้ว่าเป็นอย่างไร เกิดมาเป็นตำรวจทั้งที มานั่งรีดไถประชาชน เงินที่ได้มามีความสุขแค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ผ่านไปใครจะไปภูมิใจกับเรา เพราะเราไม่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพตัวเอง”
พล.ต.ท.สมหมายบอกว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองเป็นทางผ่านของพวกค้ายาเสพติด จึงต้องพยายามอย่างหนักไม่ให้ประเทศอื่นเขามาด่าเราว่าสนับสนุนการค้ายาเสพติด และต้องทำให้เพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นๆ รู้ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แม้จะเป็นตำรวจ ไม่ใช่นักการทูต แต่ชีวิตหนึ่งถ้ามีโอกาสก็ต้องทำหน้าที่แทนกันได้ด้วยวิถีแบบของเรา
“เข้ารับตำแหน่งอยู่ตรงนี้ถ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ การไล่จับยาเสพติด ประชาชนเขารับรู้และมีความสุขหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบ แต่อย่างน้อยถ้าสร้างความพึงพอใจได้ ถึงจะช้าแค่ไหนเราก็ต้องทำ ปฏิบัติการชัยยะสยบไพรีตั้งแต่ 60/1 จนถึง 61/7 เป็นการทำงานตลอดระยะเวลา 2 ปีเต็ม”
“ทุกคดีที่ทำเป็นคดีที่มีความสำคัญทั้งสิ้น เริ่มคดีแรกที่การจับกุมตัวนายไซซะนะ แก้วพิมพา พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่กลางสนามบินสุวรรณภูมิ คดีนี้ได้เฝ้าติดตามมาเป็นเวลานาน ภายหลังจากจับกุมก็ได้ทำการขยายผลไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้แต่ดารา ไฮโซคนใด เพราะคนที่กระทำผิดก็ควรได้รับโทษ”
พร้อมส่งท้ายด้วยผลงาน ปฏิบัติการชัยยะ สยบไพรี 61/7 “Mission Dark Social” ซึ่งรวมหัวหน้าเครือข่ายมันส์ทุกเม็ด ซึ่งเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญที่ใช้สื่อโซเชียลเป็นช่องติดต่อในการจำหน่ายยาเสพติด
“บิ๊กหมาย” ว่า “ที่เราต้องทำงานกันหนักขนาดนี้เพราะพวกค้ายามันไม่เคยหยุดเลยสักวันเดียว ซึ่งพอพวกมันขยัน เราก็แค่ต้องขยันมากกว่ามันหน่อยเท่านั้นเอง”
ส่วนหลังจากเกษียณจะเล่นการเมืองหรือเปล่านั้น ผบช.ปส. บอกว่าสายนี้ขอสาปส่ง ลองฟังเหตุผลดู
“เราเป็นคนพูดตรงๆ จะมานั่งพูดจริงบ้างไม่จริงบ้าง อ้อมค้อมเหมือนนักการเมือง บอกเลยว่าไม่ถนัด และพวกที่ร่ำรวยจากการเล่นการเมืองมา เขาจะไปตอบใครได้อย่างภูมิใจว่าผมรวยเพราะเป็นนักการเมือง ผมทำไม่ได้เพราะผมเป็นคนพูดไม่เพราะ มีเรื่องอะไรก็ชนไปเลย ไม่ต้องอ้อมค้อม และถ้าใครมาทาบทาม ผมบอกเลยว่าอย่ามายุ่งกับผม ผมไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง เพราะเห็นมาเยอะแล้วว่าเป็นยังไง”
พล.ต.ท.สมหมายบอกว่า หลังจากเกษียณแล้วยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร อาจจะหยุดพักสักระยะให้มีเวลาได้ทำสิ่งที่รัก ชอบอ่านหนังสือแนวสืบสวน เพราะอยากรู้ว่านักสืบแต่ละประเทศคิดกันอย่างไร ก็น่าจะใช้เวลาไปกับมันมากขึ้น
สุดท้ายอยากฝากว่า กัญชาช่วยรักษามะเร็งได้ ซึ่งคนไทยที่เป็นมะเร็งหลายล้านคนเกือบทุกคนไม่มีเงินรักษาเพราะราคาสูง สหภาพยูเอ็นมีกฎหมายแล้วว่าเอากัญชามาทำเป็นยารักษาโรคได้
พร้อมเอ่ยถึงผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ที่ผ่านมารู้ว่าทำงานมามากพอแล้ว และทุกคนเหนื่อยกับผมมาเยอะ แต่ถามว่าถ้าเราเป็นตำรวจแล้วเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับมาติดบ่าสวยหรู แต่ทำงานไม่ได้เรื่องก็อายคนอื่นเขา เราเป็นคนกวนแต่รักลูกน้องทุกคน แม้ตอนนี้ใกล้จะหมดหน้าที่ไปแล้ว แต่ยืนยันว่าจะดูแลทุกคนอยู่เบื้องหลัง”
“ถ้าวันไหนใครถูกรังแกผมจะกลับมา และจะมาในฐานะประชาชน ชีวิตของผมอยู่มาขนาดนี้ไม่เคยกลัวใคร ถ้าพูดแค่ประโยคเดียว ใครจะมีอิทธิพลหรือใหญ่มาจากไหนก็เตรียมตัวซวยแน่นอน”
ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “การทำงานจะต้องทำด้วยหัวใจ หัวใจเต็มไปด้วยความรัก เอื้ออาทร ความเมตตา ความห่วงใย ถ้าทำงานด้วยกำลังก็แค่เสร็จๆ ไป แต่ทำงานด้วยหัวใจจะได้ผลมากกว่าหลายๆ เท่ากว่าสิ่งที่เราทำด้วยกำลังเพราะเราได้ตั้งใจจริง”
ถึงบทบาทชีวิตของข้าราชการจะสิ้นสุดลง แต่ตำรวจนายนี้ยังคงอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นและพลังแห่งศรัทธาในความเป็นตำรวจที่มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง
และจะต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด