ปิดคดีล่าหัวคนเสื้อแดง มือปืนยิงถล่ม “ขวัญชัย” ศาลฎีกายืน-สั่งยกฟ้อง ชี้หลักฐานไม่น่าเชื่อถือ

เป็นคดีอื้อฉาวทางการเมืองคดีหนึ่ง ที่ยุติลงแล้วด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา

สำหรับกรณีคนร้ายขับปิกอัพใช้อาวุธสงครามยิงถล่มใส่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงอุดรฯ คาบ้านพัก

ซึ่งครั้งนั้นโชคยังดีกระสุนถูกไหล่ขวา และขา บาดเจ็บสาหัส

ต่อมาจากการสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถคลี่คลายได้โดยจับกุม 6 ผู้ต้องสงสัย

โดยมีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ อาวุธปืน รวมถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จากการใช้โทรศัพท์มือถือ

เมื่อทุกอย่างพร้อมมูล ผู้ต้องสงสัยบางรายก็รับสารภาพว่าเป็นคนลงมือก่อเหตุเอง โดยรับงานจากคนมีสีมาลงมือด้วยเงินเพียง 8 พันบาท

สุดท้ายเมื่อคดีความขึ้นสู่ศาล การพิจารณาทั้งชั้นต้นและอุทธรณ์ ก็ออกมาตรงกันให้ยกฟ้อง

ขณะที่ศาลฎีกาก็พิพากษายืนไปในทิศทางเดียวกันคือการยกฟ้อง ส่งผลให้จำเลยทั้ง 6 กลายเป็นผู้บริสุทธิ์

ทิ้งคำถามไว้ว่า แล้วคนร้ายตัวจริงคือใครกันแน่

ในยุค คสช.ดูแลบ้านเมือง ข้อเท็จจริงของคดีนี้จะได้รับการคลี่คลายหรือไม่

ศาลฎีกายกฟ้อง-ยิงขวัญชัย

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 กันยายน นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี เดินทางมาที่ศาล จ.อุดรธานี เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีดำที่ 1000/57 คดีหมายเลขแดงที่ 1351/59

โดยคดีดังกล่าวมีพนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.มาวิน ยางบัว กับพวกรวม 6 คน ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น

ซึ่งคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 6 ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็ก เอเค 47 ขนาด 7.62 มิลลิเมตร มีเลขหมายประจำปืน รวม 3 กระบอก และกระสุนขนาดเดียวกันมากกว่า 43 นัด

จำเลยทั้ง 6 และพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนสายบ้านหนองลีหู-บ้านแมด อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์

จากนั้นจำเลยทั้ง 6 กับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายขวัญชัย ผู้เสียหายหลายนัด โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทั้ง 6 กับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกต้นแขนและขาของผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้รับการรักษาไว้ทัน จึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน

เหตุเกิดที่ตำบลสามพร้าว อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี หลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 43 ปลอก กระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 3 ลูก รองลูกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 4 ชิ้น แกนลูกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 3 ชิ้น และอาวุธปืนกลเล็ก 3 กระบอก เป็นของกลาง

จำเลยทั้ง 6 ให้การปฏิเสธ

โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง ยกคำร้องคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์ เรื่องขึ้นสู่การพิจารณาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ผลออกมาพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา อัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา

ระบุหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ

นายวีระ พรหมอยู่ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายขวัญชัยร่วมนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจากริมรั้วบ้านด้านนอก กระสุนปืนถูกแขนและขาขวาของนายขวัญชัยได้รับอันตรายสาหัส

หลังเกิดเหตุร้ายขึ้น รถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง หลบหนีไปทางบ้านสามพร้าว พบร่องรอยกระสุนปืนบริเวณเสารั้วคอนกรีตและรั้วเหล็ก ตัวบ้านและหลังคาบ้าน รวม 40 รอย และมีปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 43 ปลอก อยู่บริเวณพื้นริมรั้วด้านนอก จึงยึดปลอกกระสุนปืน หัวกระสุนปืนและเศษชิ้นส่วนของหัวกระสุนปืน 10 ชิ้นเป็นของกลาง

ต่อมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ชาวบ้านพบอาวุธปืนกลเล็ก (AK 47) 3 กระบอก อยู่ในน้ำคลองลำตะคล้อ ใต้สะพานหมู่ที่ 15 ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 225 กิโลเมตรที่ 50-51 (ถนนหนองบัว-ชัยภูมิ)

ตรวจสอบกับปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนพร้อมเศษชิ้นส่วนของกลางแล้ว เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงนายขวัญชัย 2 กระบอก

ต่อมาตำรวจจับกุมนายมะดือนัง มะแซ จำเลยที่ 6 ตามหมายจับของศาลเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ส่วนจำเลยที่ 5 มอบตัวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 6 ให้การปฏิเสธ

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้ง 6 เป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

โดยพยานฝ่ายโจทก์ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุขณะขี่จักรยานยนต์มุ่งไปทางสี่แยกสามพร้าว ก่อนถึงบ้านนายขวัญชัย 10 เมตร มีคนร้ายสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกไอ้โม่งสีดำทั้งชุดยืนอยู่นอกรั้วริมถนน มีรถกระบะสีบรอนซ์ทองจอดอยู่ข้างหลัง

คนร้ายใช้ปืนยาวยิงเข้าไปในบ้านนายขวัญชัยหลายนัด เช่นเดียวกับพยานที่ทำงานร้านคาร์แคร์ตรงข้ามบ้านนายขวัญชัย ที่ระบุว่าได้ยินเสียงดังคล้ายประทัดหลายนัด มองไปที่ต้นเสียง เห็นคนร้ายใช้ปืนยิง โดยคนร้ายใส่เสื้อแขนยาวสีดำ สวมหมวกไอ้โม่งสีดำ ท้ายกระบะมีเงาดำๆ

แต่ไม่เห็นหน้าคนร้ายและเลขทะเบียนรถ!??

จำเลยสารภาพก็ฟังไม่ได้

นอกจากนี้ จากการนำสืบจากพนักงานของรีสอร์ตที่จำเลยเข้าพัก รวมทั้งหญิงสาวชาวลาวที่มาขายบริการทางเพศ จะยืนยันว่าทั้ง 6 มาเปิดห้องพักตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2557 – 22 มกราคม 2557

ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ รวมทั้งกล้องวงจรปิดจากสี่แยกสามพร้าวมาจากรีสอร์ตดังกล่าว ผ่านบ้านของนายขวัญชัย พบภาพปิกอัพสีบรอนซ์อยู่ในจุดต่างๆ แต่ก็เป็นภาพของแต่ละกล้อง ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหวจากวงจรปิดตัวเดียวกัน

รถกระบะที่เห็น ทั้งยี่ห้อ รุ่น และสี ก็มีจำหน่ายใช้กันอยู่ทั่วไป ไม่ได้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ บางภาพก็ไม่สอดคล้อง มีทั้งคนนั่งกระบะท้ายและไม่มีคนนั่ง จึงไม่แน่ชัดว่าเป็นรถกระบะคันเดียวกัน และมาจากรีสอร์ตที่พักหรือไม่

ส่วนข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีที่มาของข้อมูล ทั้งไม่ได้หมายเลขโทรศัพท์และเครื่องโทรศัพท์เป็นของกลาง เพื่อเชื่อมโยงยืนยันการวิเคราะห์ให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

การตรวจสอบ ทำได้แต่เพียงหาตำแหน่งของหมายเลขโทรศัพท์และหมายเลขเครื่อง โดยอาศัยเสาสัญญาณตามวงรัศมี ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างๆ ไม่น่าจะได้รายละเอียดถึงขนาดจะกำหนดจุดที่ตั้งหรือรู้ถึงการกระทำของผู้ใช้โทรศัพท์ได้

การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จึงเป็นเพียงความเห็น มิใช่ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 6 ร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่เป็นทีมชี้เป้า ทีมยิงโจทก์ร่วม และทีมวางแผน ส่วนนายมะดือนัง แม้ชั้นสอบสวนครั้งแรกจะให้การรับสารภาพ แต่คำให้การรับสารภาพนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน

คำรับสารภาพของจำเลยที่ 6 ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รู้เห็นมายืนยันสนับสนุน อาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำผิดก็ไม่ได้จากจำเลยที่ 6 หรือได้มาโดยผลของคำรับสารภาพ

อีกทั้งไม่มีประจักษ์พยานใดเห็นคนร้ายยิงปืนจากกระบะท้าย และหากนั่งยิงปืนในกระบะท้าย ปลอกกระสุนก็น่าจะตกอยู่ในกระบะ แต่ที่เกิดเหตุกลับพบปลอกกระสุนที่ริมรั้ว

ต่อมานายมะดือนังให้การปฏิเสธ คำสารภาพของนายมะดือนังจึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังลงโทษได้

ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

เท่ากับเป็นผลให้คดีดังกล่าวได้จบลงแล้วอย่างสิ้นเชิง

เหลือแต่คำถามว่า หาก 6 จำเลยที่ถูกยื่นฟ้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริง

เท่ากับคนร้ายตัวจริงที่ลงมืออย่างอุกอาจ ยังคงลอยนวล

และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคดีนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับการเมืองอยู่ไม่น้อย

หากไม่สามารถคลี่คลาย ก็คงทำให้ประชาชนนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ยากขึ้นกว่าเดิม