วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร / ‘ศัสตรา’ เป็น ‘แพรพรรณ’ (158)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

 

‘ศัสตรา’ เป็น ‘แพรพรรณ’ (158)

 

กระบวนการในทางความคิดของจิวแป๊ะทงแม้ไม่แตกต่างไปจากกระบวนการทางความคิดของเอี้ยก่วยมากนัก แต่สลับซับซ้อนมากกว่า

ผลสะเทือนกลับเกิดจากชะตากรรมของเอี้ยก่วย

อาจเป็นเพราะก๊วยเซียงเดินตามเอี้ยก่วยไปหลายก้าวเหลียวกลับมากล่าวกับจิวแป๊ะทง “ผู้อาวุโสแซ่จิวตั่วกอกอ ข้าพเจ้าคิดถึงฮูหยินของเขาถึงเพียงนี้ เอ็งโกวของท่านคงครุ่นคิดถึงท่านเช่นกัน ท่านกลับไม่ยอมพบหน้านาง ไฉนหักใจถึงเพียงนี้”

ได้ยินเช่นนั้นใจของจิวแป๊ะทงสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนไป

เอี้ยก่วยกล่าวเบาๆ ว่า “เซียวม่วยม่วย อย่าได้กล่าวแล้ว คนต่างมีปณิธาน กล่าวมากความก็ไร้ประโยชน์”

2 คน 1 อินทรี เดินจากไปอย่างแช่มช้า

“ตั่วกอกอ หากข้าพเจ้าถามถึงเรื่องของฮูหยินท่าน ท่านคงไม่เศร้าเสียใจกระมัง” ถามจากก๊วยเซียงนี้แหละคือตัวจุดชนวน แม้เอี้ยก่วยจะยืนยัน

“ไม่หรอก จะอย่างไรอีกไม่กี่เดือนข้าพเจ้าสามารถพบกับนางแล้ว”

ปากแม้กล่าว แต่ในใจกลับวิตกกังวล แต่แล้วปราการแห่งเขื่อนทำนบก็พังทลายเมื่อก๊วยเซียงเอ่ย

“ท่านรู้จักนางได้อย่างไร”

 

กิมย้งขมวดเรื่องเล่าจากเอี้ยก่วยเหมือนกับเป็นการย้อนทวน เป็นเรื่องราวตั้งแต่เยาว์วัย เป็นกำพร้าเดียวดายอย่างไร ร่ำเรียนวิชาฝีมือที่ตำหนักเต้งเอี้ยงอย่างไร ถูกซือแป๋และซือเฮียตี๋ร่วมสำนักรังแกหลบหนีเข้าสุสานโบราณ

ได้รับการอุปการะจากเซียวเล้งนึ่ง นานเข้าบังเกิดเป็นความรัก

ผ่านอุปสรรคนานัปการ ค่อยแต่งงานเป็นสามี-ภรรยา เพียงแต่ไม่เอ่ยพาดพิงถึงชื่อก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง และลี้มกโช้วแต่อย่างใด

ก๊วยเซียงรับฟังอย่างเงียบงัน บังเกิดความตื้นตันใจในรักของเอี้ยก่วยยิ่งนัก

“หวังว่าสวรรค์ปกป้อง คุ้มครอง ดลบันดาลให้ท่านพบกับนาง นับแต่นี้ไม่พรากจากกันอีก”

“ขอบคุณท่าน เซียวม่วยม่วย ข้าพเจ้าจะจดจำรำลึกกุศลเจตนาของท่านไว้ หากภายหน้าข้าพเจ้าพบพานภรรยา ข้าพเจ้าก็จะบอกต่อนาง”

“วันเกิดของข้าพเจ้าทุกปี” เสียงของก๊วยเซียงสั่นเครือ

“มารดากับข้าพเจ้าจะจุดธูปบนบานต่อฟ้า มารดามักบอกให้ข้าพเจ้านึกอธิษฐานตั้งความหวังไว้ 3 ประการ ข้าพเจ้ามักใช้เวลานึกอยู่ครึ่งค่อนวันยังนึกไม่ออก เมื่อถึงวันเกิดปีนี้ข้าพเจ้านึกได้แต่แรกว่าข้าพเจ้าจะอธิษฐานให้ตั่วกอกอกับฮูหยินของเขาได้ครองคู่อยู่ร่วมกันโดยเร็ว”

ได้ยินเช่นนั้นเอี้ยก่วยย่อมอยากรู้ว่าความหวังอีก 2 ประการเป็นอะไร

 

ยามนั้นทางด้านหลังเอี้ยก่วย ก๊วยเซียง ก็บังเกิดเสียงร่ำร้องดังขึ้น “เอี้ยเฮียตี๋ รอเราสักครู่” แน่นอนย่อมเป็นเสียงของจิวแป๊ะทง สร้างความยินดีแก่เอี้ยก่วยยิ่ง

เหลียวหน้าไปเห็นจิวแป๊ะทงโลดแล่นมาดุจเหินบิน

“เอี้ยเฮียตี๋ เราใคร่ครวญแล้ว เจ้ารีบนำเราไปพบกับเอ็งโกว หลังจากที่พวกเจ้าไปแล้วเรานึกทบทวนคำพูดของเอี้ยเฮียตี๋ ยิ่งหวนนึกยิ่งผูกพันกังวล หากแม้นไม่ไปพบนาง วันเวลาหลังจากนี้อย่าคิดหมายหลับลงได้ มีคำพูดประโยคหนึ่งที่มิอาจไม่ถามไถ่นางให้กระจ่างชัด”

นี่ย่อมเป็นความจริงใจอย่างยิ่งยวดจากจิวแป๊ะทง

นี่ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีหากมองจากทางด้านของเอี้ยก่วย ก๊วยเซียง และหมายรวมไปยังอิดเอ็งไต้ซือ เอ็งโกว

แม้ว่ามีบางคำถามบางความสงสัยของจิวแป๊ะทงยังค้างคาอยู่ จิวแป๊ะทงเมื่อพบเอ็งโกวก็ร้องถามดังๆ ว่า

“ทารกที่พวกเรากำเนิดออกมาที่กลางศีรษะมีขวัญเดียวหรือว่ามีสองขวัญ”

“มีสองขวัญ”

ได้ยินดังนั้นจิวแป๊ะทงปรบมือด้วยความยินดี “ถูกต้อง นั่นคล้ายกับเรา เป็นทารกที่เฉลียวฉลาดจริงๆ”

จากนั้นทอดถอนใจ สั่นศีรษะ พลางกล่าว “น่าเสียดายที่ตายแล้ว”

 

นี่ย่อมเป็นการแปร “ศัสตรา” ให้กลายเป็น “แพรพรรณ” ได้อย่างงดงาม สมบูรณ์ยิ่ง อาจมองว่าเป็นคุณูปการของเอี้ยก่วย ก๊วยเซียง

แท้จริงแล้ว พื้นฐานจริงๆ มาจาก “ความรัก”

ความรักของเอี้ยก่วยที่มีต่อเซียวเล้งนึ่งต่างหาก คือแรงบันดาลใจให้เกิดความสะเทือนใจ และความสะเทือนใจจากกรณีของเซียวเล้งนึ่ง เอี้ยก่วยก็ถ่ายทอดผ่านไปยังความรักที่จิวแป๊ะทงมีต่อเอ็งโกว และที่สำคัญเป็นอย่างมาก คือความเป็นจริง

ความเป็นจริงที่ถ่ายทอดออกมานั่นแหละทำให้จิวแป๊ะทงได้รับรู้ด้านที่ขาดหายไปและเกิดการตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์