ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | สมชัย ศรีสุทธิยากร |
เผยแพร่ |
สําหรับชาวบ้าน คำว่าเขตเลือกตั้ง คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย เพียงแต่จดจำให้ได้ว่าตัวเองอยู่ในเขตเลือกตั้งใด และมีผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดที่ดูเข้าท่าบ้าง
วันเลือกตั้งจะได้ไปกาให้ถูกเบอร์
แต่สำหรับนักการเมือง เขตเลือกตั้ง ดูจะเป็นเรื่องที่มีความหมายยิ่ง
การแพ้-ชนะในการเลือกตั้งส่วนหนึ่งมาจากเขตเลือกตั้ง
คำว่า “พื้นที่ใครพื้นที่มัน” สะท้อนถึงการมีอิทธิพลบารมีของผู้สมัครที่สั่งสมในเขตพื้นที่ดังกล่าว
การมีกิจกรรมทางสังคมที่ต่อเนื่อง งานบวช งานแต่ง ไม่เคยขาด ส่งหรีดไปยังทุกงานศพในพื้นที่
การให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภายใต้คำขวัญ “ใจถึง พึ่งได้” คือการเตรียมการอย่างต่อเนื่องยาวนานของ “นักเลือกตั้ง” ที่ประสงค์จะได้รับชัยชนะในทางการเมืองในเขตเลือกตั้งที่เป็น “พื้นที่” ของตน
การเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส.เขต ที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2560 จากเดิมที่มี 375 คน เหลือเพียง 350 คน นั่นแปลว่า จังหวัดหลายจังหวัดที่มีจำนวน ส.ส.เปลี่ยนไป ต้องมีการแบ่งเขตเลือกตั้งกันใหม่
ตัวอย่างเช่น ในอดีต กทม.มี ส.ส.จำนวน 33 คน ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อคำนวณจำนวน ส.ส.จะเหลือเพียง 30 คน ดังนั้น การขีดลากเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในกรุงเทพมหานครต้องเกิดขึ้น
และเป็นที่อยากรู้ของนักการเมืองทุกพรรคทุกฝ่าย ว่าจะเดินหน้ากำหนดผู้สมัครและวางแผนการหาเสียงกันอย่างไรให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
ตัวอย่างในอดีต และข้อวิจารณ์เกี่ยวกับการแบ่งเขตที่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งมีมาตลอด
โดยข้อครหามักจะออกมาในทำนองว่าก่อให้เกิดความได้เปรียบต่อฝ่ายรัฐบาลมากกว่า
เช่น การเลือกตั้งของมาเลเซียเมื่อต้นปี 2018 ได้รับการวิจารณ์ว่ามีการแบ่งเขตเพื่อลดทอนเสียงของคนเมือง เพื่อให้ฝ่ายค้านที่มีคะแนนนิยมดีในเขตเมืองเสียเปรียบ เนื่องจากรัฐบาลเชื่อว่าตนเองมีคะแนนนิยมที่ดีกว่าในเขตชนบท
ในสหรัฐอเมริกา กว่าจะมาเป็นรูปแบบที่พอยอมรับกันได้ในปัจจุบัน ลูกเล่นของการแบ่งเขตที่เรียกว่าแตกและรวม (crack and pack) ที่ฝ่ายจัดการเลือกตั้งนำมาใช้เพื่อให้เกิดความได้เปรียบก็เป็นที่กล่าวขานจนเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของประเทศนี้
โดย crack หรือทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ สำหรับพื้นที่ที่มีคะแนนเป็นกลุ่มเป็นก้อนของฝ่ายตรงข้าม และ pack จัดรวมคะแนนที่กระจัดกระจายของฝ่ายเราให้กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อน เปลี่ยนสถานการณ์จากแพ้เป็นชนะ จากเสียเปรียบเป็นได้เปรียบได้โดยไม่ยาก
พอเขียนแผนที่เขตเลือกตั้งหลังจากแบ่งเขตแบบพิสดาร จึงเห็นรูปร่างหน้าตาของเขตที่ค่อนข้างผิดปกติ จนอยากดูหน้าคนแบ่งว่าใช้เกณฑ์อะไรในการคิด
โดยปกติแล้ว การแบ่งเขตเลือกตั้ง (Electorate) นั้นมีเกณฑ์ที่ต้องพึงพิจารณาในหลายเรื่อง แต่สุดท้ายคงต้องมาจบที่การสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้สมัคร ซึ่งเป็นคำตอบที่เป็นข้อยุติได้ยากว่าเป็นธรรมหรือไม่ ดังนั้น สิ่งที่ กกต.ทั่วโลกจะใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขต จึงพอมีข้อสรุปในเชิงหลักการดังนี้
ประการแรก ดูที่จำนวนของประชากร
ประชากรในที่นี้คือประชากรจริงๆ ไม่ใช่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น เพราะผู้แทนราษฎรแม้ว่าจะถูกเลือกโดยคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ก็มีฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนทุกคนในเขตเลือกตั้ง
ดังนั้น วิธีการคิดง่ายๆ คือ เอาจำนวนประชาชนทั้งประเทศเป็นตัวตั้ง และเอาจำนวน ส.ส.เป็นตัวหาร
เช่น หากคนไทยมี 65 ล้านคน มี ส.ส.เขต จำนวน 350 เขต ผลการหารจะตกที่ 185,000 คน โดยประมาณ
ดังนั้น เขตเลือกตั้งแต่ละเขตจะพิจารณาจากประชากร 185,000 คนให้เกิดความใกล้เคียงกันให้มากที่สุด
โดยอาจมีการบวกลบแตกต่างกันไม่ควรเกิน 10%
หากแตกต่างกันมากกว่านี้ น่าจะเป็นการแบ่งที่ไม่เหมาะสม ยกเว้นจะมีเหตุผลอื่นมาเป็นคำอธิบาย
ประการที่สอง ดูที่ลักษณะภูมิประเทศ เส้นแบ่งตามธรรมชาติต่างๆ สามารถนำมาใช้ได้โดยง่าย เช่น ลำน้ำ สันเขา ซีกถนน ในเขตเลือกตั้งเดียวกันควรมีลักษณะเป็นพื้นที่ที่ต่อเนื่องติดต่อกัน ไม่ถูกแบ่งกั้นหรือนำเขตเลือกตั้งอื่นมาแทรก ซึ่งหมายความถึงความสะดวกในการเดินทางติดต่อกันของประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าว
ประการที่สาม เขตการปกครอง เช่น อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน โดยปกติหากเลือกได้ จะไม่ผ่าหมู่บ้าน ให้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านอยู่ในเขตเดียวกัน ไม่ใช่ทางเหนืออยู่ในเขตหนึ่ง ทางใต้อยู่ในเขตหนึ่ง หรือดีกว่านั้นคือ ไม่ผ่าตำบล ไม่ผ่าอำเภอ ถ้าสามารถทำได้
ประการที่สี่ รูปทรงของการแบ่งเขต เรื่องนี้อาจตัดสินยาก แต่รูปทรงที่เป็นกลุ่มก้อนน่าจะดูดีกว่า รูปทรงของเขตที่แบ่งแล้วเป็นเส้นยาว อย่างที่มีหลายคนว่าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือในอเมริกา การแบ่งเขตที่ไม่เป็นธรรม มีลักษณะโค้งเว้าเข้าไปในบางพื้นที่ หรือแหว่งกลับในบางพื้นที่จนมีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
จนมีประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอเมริกาเรียกว่าการแบ่งเขตในรูปตัวซาลามานเดอร์ (Salamander) แต่ถ้าเป็นบ้านเราอาจเรียกดุเดือดกว่านั้น
ประการที่ห้า การคุ้นชินของประชาชนในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หากประชาชนเคยชินกับการอยู่ในเขตเลือกตั้งใดมาเป็นเวลานาน หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปเปลี่ยนแปลงหรือจับเขาโยกย้ายไปในเขตเลือกตั้งอื่น จะทำให้ประชาชนเกิดความสับสน
แต่ในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยาก เพราะหากจำนวน ส.ส.เปลี่ยน จำนวนเขตก็ต้องเปลี่ยน แต่ต้องพยายามให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
แม้จะมีหลักให้ยึดมากมาย แต่การแบ่งเขตทุกครั้งจะได้รับการร้องจากผู้สมัครหรือพรรคการเมืองว่ามีการแบ่งเขตไม่เหมาะสม เนื่องจากกระทบหรือมีผลต่อฐานคะแนนเสียงของนักการเมือง
ดังนั้น หลักการที่ กกต.ใช้คือ กำหนดให้สำนักงาน กกต.จังหวัด จัดทำรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดเป็น 3 รูปแบบ และให้นำรูปแบบดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งจากฝ่ายการเมืองในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ให้มีการบันทึกความเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียว่ามีเหตุผลในเชิงสนับสนุนและคัดค้านอย่างไร
และให้มีการลงมติเพื่อเลือกรูปแบบ อันดับหนึ่งถึงสาม ส่งมาให้ที่ กกต.กลางเป็นผู้ลงมติเลือกแบบใดแบบหนึ่งในสามแบบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตรงกับสิ่งที่รับฟังความเห็นมา
จุดแข็งของวิธีการที่ใช้คือ มีทางเลือก และให้มีการรับฟังความคิดเห็น ก่อนนำมาลงมติเลือกใน กกต.กลาง
แต่จุดอ่อนที่มีคือ ศักยภาพในการลงสำรวจในพื้นที่จริง และการรับฟังความเห็นอาจทำพอเป็นพิธีกรรม โดยกะเกณฑ์ประชาชนในจำนวนไม่มากมาออกความเห็น หรืออาจถูกครอบงำจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองก็ยังขาดรากฐานสมาชิกในระดับเขตเลือกตั้งที่จะมาช่วยวิพากษ์วิจารณ์และลงมติเพื่อเลือกแบบที่ฝ่ายตนเสียประโยชน์น้อยที่สุด
ในด้าน กกต.กลาง 5 คน ที่จะเป็นองค์อำนาจในการเห็นชอบกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในสามแบบที่เสนอขึ้นมา คงต้องอาศัยความไว้วางใจกลไกระดับล่างเป็นอย่างยิ่ง
การตั้งคำถามถึงความเหมาะสม การใช้ประสบการณ์ในเชิงพื้นที่ (ซึ่งอาจมีน้อยหรือแทบไม่มีเลย)
การมองให้ออกถึงความได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่เป็นธรรมที่อาจเกิดขึ้นจากการแบ่งเขต จะเป็นตัวช่วยในการกรองสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไปได้ แต่อย่าคาดหวังอะไรให้มาก เพราะ 350 เขต คือเอกสารที่อาจหนาเป็นฟุต เป็นเมตร มีข้อมูลต่างๆ แนบให้อ่านมากมายกว่าที่คน 5 คนจะอ่านได้ในเวลาจำกัด
มีเวลาน้อยนิด ต่อให้เป็นเทพหรือมหาเทพ ก็คงยากที่จะพิจารณาให้ถ้วนถี่
เขตเลือกตั้งที่เหมาะสม เป็นธรรม คงต้องฝากไว้ที่ประชาชนและพรรคการเมือง ช่วยกันให้ความเห็น ช่วยกันทักท้วง เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดแก่บ้านเมืองครับ