กาละแมร์ พัชรศรี : 5 คำถามกับองค์ทะไลลามะ

ฉันทำพันธสัญญากับตัวเองว่า ฉันจะเดินทางไปที่ดารัมซาล่าทุกปีเพื่อไปฟังคำสอนขององค์ทะไลลามะในช่วง Asia Teaching ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 4-7 กันยายน 2018

ฉันไปกับกัลยาณมิตรอย่างวู้ดดี้อีกครั้ง รวมทั้งคนไทยอีกร้อยกว่าชีวิต ซึ่งวู้ดดี้ทุ่มเทให้กับเพื่อนฝูง ครอบครัว คนรอบตัว รวมไปถึงคนไทยคนอื่นๆ ให้ได้ไปฟังคำสอน ได้ไปอยู่ในบรรยากาศ ได้ไปรับพลังงานดีๆ ไม่ใช่ว่าอยากไปก็ไปเลย เพราะการเข้าไปในวังขององค์ทะไลลามะ คนต่างชาติต้องทำบัตรทำเรื่องเข้าไป และเป็นในช่วงเวลานี้เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้

การเดินทางไปถึงที่นั่น ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นอย่างเดียว เพราะการได้อยู่ ได้ใช้ชีวิต ได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัว มันคือสวรรค์ในแบบที่เรายังมีชีวิตอยู่

 

สําหรับฉันแล้ว ดารัมซาล่าหรือธรรมศาลาเป็นสถานที่ชาร์จพลังให้เราได้รับความอิ่มเอม สงบสุข เบิกบาน และมีความรักความเมตตาอยู่เต็มเปี่ยม

การไปครั้งนี้นอกจากฉันได้นั่งฟังธรรมะร่วมกับผู้คนหลายพันคนแล้ว เรายังโชคดีที่ได้เข้าเฝ้าแบบกลุ่มย่อยพร้อมกับท่าน ว.วชิรเมธีและหมู่คณะสงฆ์ไทยอีกด้วย

เราได้ใช้เวลาอยู่กับท่านเกือบชั่วโมง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรามีเวลาน้อยกว่านั้น

แต่ท่านก็เมตตาในการตอบคำถามให้พวกเราด้วยความตั้งใจ

แม้แต่พิธีกรอย่างวู้ดดี้ยังไม่สามารถจะควบคุมเวลาท่านได้ เพราะก่อนที่เราจะเริ่มถามคำถาม วู้ดดี้ก็เกรงใจว่าเราใช้เวลากับท่านนานแล้ว และหลังจากนี้ท่านก็ต้องไปสอนธรรมะในห้องใหญ่อีก เกรงจะเลยเวลาไปมาก

เลยบอกท่านว่า เรามีคำถาม 5 คำถาม ท่านตอบคนละ 1 นาทีก็พอ

ท่านตอบกลับทันทีว่า ไม่มีใครจะควบคุมเวลาเราได้ ถ้าเราอยากจะอธิบายเราจะใช้เวลาอย่างเต็มที่ ทำให้เรียกเสียงหัวเราะดังทั้งห้อง

 

คําถามแรกจากฌอน บูรณะหิรัญ เขาถามว่า ประเทศไทยมีคนทุกข์กับปัญหาเศรษฐกิจเยอะมาก พวกเขาควรทำอย่างไรดี

ท่านตอบว่า จริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะเรียนเกี่ยวกับอะไรก็ตาม เราควรมีวิชาเกี่ยวกับธรรมะหรือการเยียวยาจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาอะไร เราก็จะแก้ไขได้เสมอ ยิ่งปลูกฝังเร็วก็ยิ่งดี

ซึ่งฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ให้เด็กได้รู้เรื่องราวชีวิต ได้รู้จักทางแก้ไข มีหลักธรรมะที่ซึมซับเข้าไปในใจ ไม่ใช่แค่ท่องจำ เพราะเมื่อถึงเวลาคับขันจะได้เอามาใช้ได้ทันท่วงที

คำถามต่อมาจากดีเจเหมียว อัจฉริยา เธอถามว่า เธอเป็นนักจัดรายการวิทยุซึ่งมีการบอกเล่าเรื่องราวธรรมะผ่านวิทยุ แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ เธอควรทำอย่างไรดี (ซึ่งฉันได้ไปถามเหมียวหลังจากนั้นว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เธอบอกว่า เธอยังไม่ได้บรรลุโสดาบันหรือเป็นนักบวช การไปบอกธรรมะคนอื่นมันจะโอเคไหม)

ท่านตอบว่า สิ่งที่เธอทำนั้นมันดีอยู่แล้ว ขอให้ดูที่เจตนาในการทำของเรา เราอยากให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น เราอยากแบ่งปัน มันจึงเป็นเรื่องที่ดี เมื่อเจตนาเราดีให้ทำต่อไป แต่เมื่อเป็นดีเจต้องเปิดเพลง ก็ขอให้เปิดเพลงที่ส่งผ่านความรัก ความเมตตาไปสู่คนฟัง ให้เขาสัมผัสได้

ซึ่งกลายเป็นว่าคำถามนี้โดนใจปั๊บ โปเตโต้ นักร้องหนุ่มผู้จะได้เป็นคนถามคนที่ 4 อย่างยิ่ง เพราะการตอบของท่านได้เป็นการยืนยันในสิ่งที่เขามีข้อสงสัยในใจเรื่องงานว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป

ปั๊บอยากส่งต่อบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้คน แต่เขาเกรงว่ามันจะโดนใจคนหรือไม่ มันจะขายได้หรือไม่

แต่พอได้คำตอบนี้ เขารู้แล้วว่า เขาจะลงมือทำมันอย่างจริงจังต่อไป

 

มาถึงฉัน ฉันถามว่า ร่างกายของเราถ้าไม่อยากป่วย เราก็สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ แล้วสำหรับจิตใจล่ะ เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจได้อย่างไร

ท่านตอบว่า จิตใจก็คล้ายร่างกาย ร่างกายเราต้องการผัก-ผลไม้ที่เป็นประโยชน์

เรารู้ว่าผักอะไรดีต่อร่างกาย เราก็กินอันนั้น และไม่กินอันที่ไม่เป็นประโยชน์

เหมือนกับที่จิตใจ เราต้องรู้ว่าอารมณ์อะไรที่เป็นโทษต่อร่างกาย เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ความกังวล

เราต้องมีสติรู้ทันมัน ไม่ใช่ไม่รู้ตัว เมื่อมีสติรู้ทันอารมณ์แล้ว เราต้องมีปัญญาเข้าไปประกบ เราจะได้รู้ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น

อย่าเสแสร้งหัวเราะเพราะเขาจะไม่เชื่อใจเราอีกต่อไป เมื่อตั้งสติได้จงยิ้มให้กับมัน เมื่อยิ้มแล้ว ความเมตตาจะเกิดขึ้น เราจะมองเห็นจุดที่อ่อนแอของสิ่งหรือคนที่ทำให้เราโกรธ เสียใจ หรือกังวลใจอยู่ เราจะจัดการมันได้ในที่สุด และในอีกด้านเราต้องฝึกที่จะมีเมตตากรุณาให้มากและรู้ถึงอารมณ์ที่ดีของตัวเอง แต่ขอให้ฝึกฝนบ่อยๆ

เพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้น ดีขึ้น

 

มาถึงคำถามของปั๊บ โปเตโต้ ซึ่งก่อนเข้าพบ ปั๊บมาปรึกษาว่าจะถามอะไรดี

ฉันเลยแนะไปว่า วัยรุ่นทุกวันนี้มาพูดกับฉันเยอะมากว่า “พี่ๆ อยากรวยทำอะไรดี”

ซึ่งแน่ละใครๆ ก็อยากรวย แต่เราจะสร้างสมดุลในชีวิตอย่างไรดีที่ไม่ใช่คิดแต่เรื่องเงินเท่านั้น

ท่านตอบมาว่า “เราต้องมีเงินสิ ออกไปทำงานให้เต็มที่ หาเงินให้ได้ เราต้องใช้เงินในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญเงินของเราสามารถไปช่วยเหลือคนอื่นได้มากมาย ไปทำประโยชน์ได้ตั้งเยอะ ไม่เหมือนพวกเราที่เป็นนักบวช (ท่านหันไปทางพระด้วยกัน) วันๆ พวกเราก็ทำได้แค่สวดมนต์ๆๆ เท่านั้น แล้วท่านก็หัวเราะร่วน

คำตอบของท่านโดนใจยิ่งนัก ฉันนั้นอยากจะยืนขึ้นปรบมือดังๆ เพราะในโลกที่เราต้องทำงานและอยากจะปฏิบัติธรรมไปด้วย มันจะดูขัดแย้งกันไหม

วันนี้เราได้คำตอบแล้ว เรารู้แล้วว่าเราจะทำมันไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร

 

และสุดท้ายคือพี่ต่าย-นิทรา กิติยากร ได้ถามคำถามที่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัวของเธอ ฉันจึงขอไม่เล่าเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเธอ

แต่สิ่งที่ได้ฟังคำตอบจากท่าน ทำให้เรารู้ว่า แม้เป็นเรื่องของคนที่ใกล้ตัวเรา เราก็อย่าเอามาเป็นความทุกข์ตัวเอง ทุกคนมีเรื่อง มีกรรมเป็นของตัวเอง เราให้ความรัก ความเมตตาไปแล้ว ก็ต้องรู้จักอุเบกขาคือปล่อยวาง ไม่คาดหวังเอากับความรักและความเมตตาที่เราให้ไปว่าต้องเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ

ตลอดระยะเวลาของการตอบคำถาม ฉันจ้องพระพักตร์และสบพระเนตรท่านตลอดเวลาให้ทุกคำสอนได้เข้าไปในปัญญาของฉัน ให้ฉันได้เข้าใจอย่างถ่องแท้

ในความรู้สึกของฉันนั้นเหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ในหัวมันมีแสงวาบๆ มันรู้สึกตื่นและเบิกบาน เราได้พบแล้ว เราได้รู้แล้ว เรารู้ว่าเราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร และเป้าหมายของเราคืออะไร

เหมือนร่างกายภายในได้จัดระเบียบใหม่ สุข สงบ แต่ทว่าสว่างอยู่ข้างใน ในวันนั้นฉันเดินออกจากวังของท่าน ทางเดินลาดลงมามีตลาดร้านค้า และเบื้องหน้าคือหิมาลัย สายหมอก ท้องฟ้า และแสงสว่าง จุดนี้ จุดเดิม ที่ทุกปี ย้ำว่าทุกปี ความปีติใจ ความอิ่มเอมใจ ความสุขที่ไม่เคยสุขจากที่ไหน

มันเกิดขึ้นตรงนั้นอีกครั้ง แบบที่ฉันไม่ได้ตั้งใจและกะเกณฑ์ บางปีฉันกับเพื่อนกอดกันกลม น้ำตาไหลกันอยู่ตรงนั้น

ครั้งนี้ฉันเผลอร้องเพลงออกมา อยากกระโดดโลดเต้น เบิกบานทั้งกายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เป็นความรู้ เป็นปัญญา เป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดแล้วมันจะไม่หวนคืน เหมือนขี่จักรยานเป็นแล้ว เราไม่มีวันลืม

นี่คือ The best moment of my life ที่ไม่มีวันลืม…