ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
สิ่งที่ผมไม่รู้มาก่อน เกี่ยวกับการขี่มอเตอร์ไซค์ จากเชียงใหม่ไปสิงคโปร์คนเดียว (11)
นี่เป็นโรงแรมห้าดาว อาหารเช้าน่าจะใช้ได้ทีเดียว
จริงๆ แล้วเป็นโรงแรมสี่ดาว แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นโรงแรมห้าดาว นอนสบาย หรูหรา คิดในใจบางทีอาจนอนที่นี่อีกสักคืน
แล้วก็ลงไปกินอาหารเช้าจึงได้ทราบว่าโรงแรมที่เอาโกดังติดทะเลนี้เป็นอาคารเก่าของบริษัททำธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ก่อตั้งที่สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 1828 และขยายมาตั้งสาขาในปีนังเมื่อปี 1864 โดยสำนักงานในปีนังก็คือตึกนี้นี่เอง
โอ้พระเจ้าจอร์จ เขาถึงได้สร้างตึกไว้ข้างใน หน้าต่างห้องนอนมองเห็นโกดัง ส่วนหน้าต่างโกดังมองเห็นทะเล
อาหารเช้าดีจริง มีมังสวิรัติให้เลือกหลายอย่าง เป็นอาหารมังสวิรัติชนิดอยู่เพื่อกินอย่างแน่แท้ รายล้อมไปด้วยคนจากหลายเชื้อชาติ ทั้งนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ เสียงคุยกันโขมงโฉงเฉง และถึงแม้ว่าจะยังมองไม่เห็นทะเลที่อยู่ใกล้มาก ก็มีความรู้สึกที่ดีมากจากโถงของอาคารโบราณที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบปี อาคารโบราณที่เป็นสำนักงานธุรกิจอายุมากกว่าร้อยปี ซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นเคยเพราะในประเทศไทยเราอะไรที่เกินร้อยปีจะเป็นเรื่องของการศึกษา ศาสนา วัง คุ้มเจ้า มีไม่มากนักที่จะเป็นธุรกิจ
และเมื่อค้นหาจึงพบว่า
ทุกวันนี้บริษัทนี้ยังคงประกอบธุรกิจ และครอบครองอาคารที่สง่างามหลังนี้อยู่… (www.boustead.com.my)
กลับขึ้นไปบนห้องพัก เปลี่ยนกางเกง คว้าหมวกกันน็อก จะไปถ่ายรูปกับสตรีตอาร์ตที่ขึ้นชื่อของปีนังในเมืองของพระเจ้าจอร์จ เอ้ย ในเมืองจอร์จทาวน์ ที่โรงแรมมีแผนที่ให้ วันนี้โชคยังเป็นของเราอยู่บ้าง เพราะไม่เจอฟรอนต์ผู้ชายหน้าเหี้ยมเกรียมหกร้อยสามสิบห้าริงกิต
แต่เจอสาวชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย คมเข้มนัยน์ตาโตน่าหลงใหลพร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์ แบบที่เห็นแล้วอารมณ์ดีมาก เป็นคนมอบแผนที่ให้ผม (ผมถ่ายรูปมาด้วย เอาไว้ดูเวลาเคืองนุสรา เอ้ย เวลาคิดถึงปีนัง)
แล้วก็กดหาพิกัดสตรีตอาร์ตจากมือถือ ปรากฏว่าหาไม่เจอ คงต้องใช้แผนที่กระดาษที่ได้มาซะแล้ว ไม่ได้ใช้นานแล้ว ยังดีที่เกิดทัน ยังพอจะใช้เป็นอยู่บ้าง
แต่มาคนเดียว มือข้างหนึ่งอยู่ที่คันเร่งกับเบรก อีกข้างอยู่ที่คลัตช์ ใครจะเป็นคนกางแผนที่บอกทางเรา
สงสัยให้สาวสวยนัยน์ตาคมเข้มซ้อนเราไปท่าจะดี
ในที่สุดก็หาทางออกได้โดยการเอาสติ๊กเกอร์ที่เอามาด้วย มาติดแผนที่ไว้กับถังน้ำมันน่าจะดี ว่าแล้วก็ลงมือทำ แล้วก็เป็นผลสำเร็จ จากนั้นจึงขี่มอเตอร์ไซค์ไปถ่ายรูปกับสตรีตอาร์ต และเมื่อถึงเวลาประมาณสิบเอ็ดโมง ภารกิจถ่ายรูปก็สำเร็จเสร็จสิ้นลง แล้วเราก็ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยตัดสินใจเช็กเอาต์ เดินทางต่อดีกว่า
วิธีการเดินทางในความเสี่ยงต่ำที่ฝรั่งท่านนั้นได้แนะนำผมไว้ และสรุปจากการอ่านหนังสือ คือการไปถึงเร็ว…เริ่มเร็ว เสร็จเร็ว และไม่อยู่ในสภาวะของความเร่งรีบ
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศ เมื่อเกิดขึ้น มันคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตัวคนเดียว มอเตอร์ไซค์คันเดียว ทุกอย่างเห็นโจ่งแจ้งเปิดเผยตรงหน้า ไม่เหมือนกับการเดินทางด้วยรถยนต์
อีกทั้งเราไม่ได้อยู่ในประเทศของเรา เราไม่เข้าใจภาษาของเขาทั้งหมด ไม่เข้าใจกฎหมาย ขั้นตอนการแก้ปัญหา และอื่นๆ อีกมากมาย
เราจึงไม่ต้องการให้ปัญหาเกิด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้เกิดในขณะที่ยังมีแสงอาทิตย์อยู่ และควรมีเวลาให้แก้ไข 3-4 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จะตก
หากยางรั่ว หรือรถเสียกลางวัน หรือบ่าย ก็ดีกว่ากลางคืน
หากรถล้ม หรือเกิดเหตุไม่พึงประสงค์อื่นใด กลางวันมีแสงอาทิตย์ ก็ดีกว่ากลางคืน และแน่นอน การขี่มอเตอร์ไซค์ในตอนที่มีแสงอาทิตย์ย่อมปลอดภัยกว่าในยามที่มีแสงจันทร์
หากฝนตกหนักมาก จอดรถรอฝน ก็จะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
หากอากาศร้อนจัด ก็มีเวลาพักดื่มน้ำอย่างเต็มที่ เพื่อให้การท่องเที่ยวไม่กลายเป็นการทรมานตัวเอง
ดังนั้น การขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศทางไกลคนเดียว ตอนกลางคืนจึงเป็นเรื่องที่ต้องถูกตัดออกไปเป็นสิ่งแรก
และแผนการขี่ในแต่ละวัน ควรจะถูกคำนวณไว้ให้มีเวลาเหลือๆ
คำแนะนำที่ผมได้รับจากฝรั่งท่านนั้น ซึ่งตรงกับหนังสือที่ได้อ่านคือ ก่อนจะวางแผนการเดินทาง “ยูควรจะรู้ว่า ยูเดินทางได้วันละกี่กิโลเมตร ที่มันจะไม่น้อยเกินไป และยูจะไม่เหนื่อยมากจนเกินไป”
ซึ่งหลังจากทดลองขี่ทางไกลคนเดียวในเดือนธันวาคม ผมพบว่า 400 กิโลเมตรต่อวัน คือตัวเลขที่ผมรู้สึกเหมาะสม
แผนการเดินทางจึงถูกวางโดยใช้ตัวเลขสูงสุดไม่เกิน 400 กิโลเมตรต่อวัน
การเดินทาง 400 กิโลเมตร ผมจะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยเพียง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งคนส่วนใหญ่ (รวมทั้งตัวผมเอง) พอเห็นตัวเลขนี้ก็รู้สึกว่ามันน้อยชะมัด โดยเฉพาะความเร็วเฉลี่ยที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่พอศึกษาดูก็พบว่า นี่คือตัวเลขที่รวมทุกอย่างเอาไว้แล้ว
รวมเวลาการดื่มกาแฟ (ซึ่งไม่ใช่แก้วเดียวต่อวัน) รวมเวลาจอดถ่ายรูป รวมเวลาเติมน้ำมัน รวมเวลากินข้าว รวมเวลาพักดื่มน้ำ
และต้องไม่ลืมว่ามันไม่ใช่การเดินทางไปทำงานที่มีกำหนดนัดหมายชัดเจนแน่นอน แต่มันคือความรื่นรมย์ระหว่างเดินทาง
ไม่ใช่การไปให้ถึงเร็ว ไม่ใช่การไปให้ถึงตามเวลา ไม่ใช่การทำให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างรวบรัดตัดตอนแบบการนั่งเครื่องบิน
แต่เป็นเรื่องราวของความรื่นรมย์
รื่นรมย์ขณะที่อยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์เพื่อรับรู้ความสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์
รื่นรมย์ขณะที่มือจับคันเร่งควบคุมม้าเพื่อสั่งให้มันออกมาวิ่งเพ่นพ่านมากน้อยตามใจประสงค์
รื่นรมย์ขณะที่เท้าวางอยู่พักเท้าควบคุมอัตราทดเกียร์ จะเบ่งพลังม้าเพิ่ม เพิ่มแรงกระชากเพียงไหนจึงพบความพึงพอใจในจิตวิญญาณ
รื่นรมย์ขณะที่หูฟังเสียงจากการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ผ่านท่อไอเสียที่ให้ความไพเราะเสนาะหู
รื่นรมย์ขณะตามองดูถนน คาดการณ์ คิดคำนวณ และเสพความสวยงาม และบางครั้ง ความตื่นเต้น
รื่นรมย์ขณะร่างกายอยู่ข้างนอก สัมผัสธรรมชาติ สภาพอากาศ แสงแดด สายฝน
อยู่ข้างนอก อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่พระเจ้าได้ออกแบบไว้
ทั้งหมดรวมกันเป็นความรู้สึกรื่นรมย์ทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง…ชนิดที่คนบางประเภทในโลกนี้นิยมชมชอบ…
นิยมชมชอบเป็นอย่างยิ่ง