บทวิเคราะห์ : เปิดแผนสหรัฐคุยทหารเวเนฯ ปฏิบัติการโค่น “มาดูโร”

เหมือนกึ่งๆ จะกลายเป็นคำตอบที่มาตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ “โดรนระเบิด” ลอบสังหารนายนิโกลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่กรุงการากัส เมืองหลวงของเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา

หลังจากนิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันที่ 8 กันยายน ว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ทหารของเวเนซุเอลาอย่างลับๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการขับไล่ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ออกจากตำแหน่ง

และหนึ่งในเหตุการณ์พยายามโค่นนายมาดูโร ก็คือการใช้โดรนลอบสังหารนั่นเอง

นิวยอร์กไทม์สอ้างการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สหรัฐและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐรวมทั้งสิ้น 11 คน และอดีตผู้บัญชาการทหารเวเนซุเอลานายหนึ่ง ที่ร่วมอยู่ในการเจรจาลับครั้งนี้ด้วย ที่เปิดเผยถึงแผนการหารือลับเพื่อโค่นนายมาดูโรว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีการวางแผน 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครั้งแรกคือเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ใช้รหัสว่า “ปฏิบัติการรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกขัดขวางเอาไว้

และเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่มีการใช้โดรนบรรจุระเบิด 2 เครื่อง บินเข้าใกล้มาดูโรที่กำลังร่วมงานสวนสนามของกองทัพในกรุงการากัส แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมาปฏิเสธที่จะตอบคำถามเรื่องรายงานที่เกิดขึ้น

และย้ำว่า สหรัฐสนับสนุนการเจรจากับทุกฝ่ายในเวเนซุเอลาที่ต้องการความเป็นประชาธิปไตย เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของประเทศที่ต้องเจอกับความเจ็บปวดภายใต้การนำของมาดูโร

ทั้งนี้ ทรัมป์เองวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเอียงซ้ายของเวเนซุเอลาภายใต้การนำของมาดูโร

ในขณะที่เวเนซุเอลาเองกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงอย่างหนักและวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่จุดกระแสทำให้เกิดการประท้วงจลาจลและทำให้เกิดการหลั่งไหลของผู้คนออกนอกประเทศเวเนซุเอลาไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงจำนวนมาก

โดยหลังจากเกิดเหตุโดรนติดระเบิดลอบสังหารมาดูโรที่กรุงการากัส เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม และมาดูโรรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งนายมาดูโรได้กล่าวหาว่า สหรัฐอเมริกา โคลอมเบีย และศัตรูในประเทศของเขา เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามลอบสังหารดังกล่าว

 

ขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ ประณามความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ประณามรัฐบาลเวเนซุเอลาเกี่ยวกับการใช้อำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยและการใช้กำลังเพื่อให้ผู้ต้องสงสัยสารภาพ

ด้านนายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความพยายามลอบสังหารมาดูโรอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ สถานการณ์ของเวเนซุเอลาย่ำแย่ลงเรื่อยมา นับตั้งแต่การขึ้นปกครองประเทศของมาดูโรต่อจากนายฮูโก้ ชาเวซ ที่เสียชีวิตลงเมื่อปี 2556

และยังถูกซ้ำเติมด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาจนทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดเหตุจลาจลและประท้วงมากมาย รวมไปถึงการอพยพของประชาชนจำนวนมากไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหนีความอดอยากแร้นแค้นในประเทศ

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐเองก็ข่มขู่เวเนซุเอลาเรื่อยมา อย่างเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 มีรายงานข่าวของสื่อระบุว่า ทรัมป์ได้สอบถามที่ปรึกษาระดับสูงเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะบุกโจมตีเวเนซุเอลา

และในช่วงเวลาเดียวกัน ทรัมป์ก็ยังได้ข่มขู่ว่าจะปฏิบัติการทางทหารต่อเวเนซุเอลา ได้กล่าวต่อสาธารณะว่า มีทางเลือกหลายทางสำหรับเวเนซุเอลา ซึ่งรวมทั้งปฏิบัติการทางทหารด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะของทรัมป์ถูกรัฐบาลเวเนซุเอลาประณามว่าเป็นการกระทำการอันบ้าคลั่ง

จะบ้าหรือไม่บ้าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องจับตาดูว่าทรัมป์จะทำตามที่ขู่ไว้หรือเปล่า

และหากเป็นไปตามรายงานข่าวของนิวยอร์กไทม์สจริง ก็เท่ากับว่าเวเนซุเอลาเป็นอีกเป้าหมายสำคัญหนึ่งของทรัมป์ที่อยากจะเข้าไปจัดการกับเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา

ซึ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของเวเนซุเอลากำลังย่ำแย่เช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การให้ทรัมป์เข้าไปแทรกแซง กับการต้องทนอยู่กับการปกครองของมาดูโรที่ยังไม่สามารถฟื้นฟูประเทศขึ้นมาได้ อันไหนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ากัน