ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
พูดกันตามตรง กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ ไม่ใช่คนหล่อชนิดเห็นแล้วต้องเหลียวหลัง
แต่กระนั้นหน้าตาก็ไม่ได้เป็นคุณสมบัติอย่างเดียวสำหรับมนุษย์นี่
ด้วยเหตุนี้ที่ผ่านมา ความเป็นกึ้งแบบที่เป็นอยู่นี่ละ จึงถูกอกถูกใจสาวสวยหลายคน จนนำไปสู่การคบหา
โดยในจำนวนนั้นน่ะ เป็นดาราคนสวยระดับนางเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิงบ้านเราเสียด้วย
อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เจ้าตัวบอกชัดว่า เขาน่ะโสดสนิท
“ตอนนี้ผมแต่งงานกับการทำงาน” บอกพลางส่งยิ้ม
กึ้งซึ่งคนทั่วไปรู้จักในฐานะทายาท “เนสกาแฟ” ขณะแฟนเพลงสายเค-ป๊อปกลับรู้จักมากกว่าในฐานะเจ้าของบริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้นำศิลปินเกาหลีมาจัดคอนเสิร์ตในไทย บอกว่า อันที่จริงแล้วนอกจาก 2 สถานะดังกล่าวเขายังมีธุรกิจอีกหลากหลาย
“เป็นซีอีโอหลายบริษัทมาก” ว่าอย่างนั้น
แต่ก็ยังมีแรงและมีใจจะทำอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
คนที่เคยหาทางออกด้วยการกินเวลาเครียด ก่อนจะเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้การดูหนังแทน และรู้สึกว่ายิ่งดูก็ยิ่งชอบ จึงตัดสินใจ “จะมีหนังเป็นของตัวเอง”
โดยที่คิดๆ ไว้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง อย่างไรก็ดีต้องดูรายละเอียดเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
กับชีวิตวันนี้ กึ้งบอกนอกจากแต่งกับงานแล้ว เขาก็ใช้เวลาไปกับการออกกำลังกาย เล่นกับหลาน พาหลานไปกินโน่น นั่น นี่
“คือผมกินได้ทุกที่ ชอบอะไรง่ายๆ ชอบข้าวแกง เพราะจะได้กินได้หลายๆ อย่าง จะบอกเขาขอสัก 4 อย่างได้ไหม” คือเหตุผลที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ
ก่อนว่า เวลาไปกินก็ชอบที่จะชวนหลานๆ ไป ด้วยเหตุที่ “ผมอยากให้เขารู้ว่ามันถือวิถีที่คนเราจริงๆ โตมาแบบนี้” ทายาทมหาเศรษฐีที่ครอบครัวมีอาณาจักรธุรกิจระดับหมื่นล้านว่า
“เลิกเรียนมา ข้างถนนมีอะไรกิน เราก็กินก่อน มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายและคนไทยทุกคนก็ทานอะไรแบบนี้”
ขณะเดียวกันนอกจากการใช้ชีวิตที่ว่า อีกสิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดคือการมองเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแง่ดี และนั่นก็ทำให้พบว่า รวมๆ แล้ว “แค่นี้ชีวิตก็สบาย”
กึ้งในวัย 40 ปีบอกอีกว่า ก่อนหน้านั้นเขาเองยังไม่เป็นอย่างที่เราได้เห็นและพูดคุยกัน อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะชีวิตและความคิดของคนจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ และสำหรับตัวเขาเอง นอกจาก “รับรู้” เรื่องราวของชีวิตที่ผ่านมา ยังได้นำสิ่งที่เกิดแล้วเหล่านั้นมา “เรียนรู้” จน “เข้าใจ” สุดท้ายก็นำไปสู่ตัวตนในปัจจุบัน
ถามจริงๆ แล้วเขาเป็นคนยังไง?
“ผมไม่สามารถบอกได้หมดหรอก” เขาบอกทันที
“คนส่วนใหญ่จะรู้จักผมในแง่บันเทิง ต้องขอบคุณนักข่าวที่เขียนข่าวผม แต่อาจจะเขียนไม่หมดว่า กึ้ง เฉลิมชัย เป็นคนยังไง และผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเราเป็นคนแบบไหน นอกจากจะได้มารู้จักและพูดคุยกัน”
แต่ถ้าจะให้นิยามตัวเองสั้นๆ เจ้าตัวใช้เวลาคิดครู่หนึ่ง แล้วว่า เขาน่าจะเป็น “กึ้งพึ่งได้”
ที่เป็นอย่างนั้น เพราะเขาคิดว่าตัวเองสามารถเป็นที่พึ่งให้คนอื่น ในเวลาที่เกิดเหตุอันใดขึ้นมา
ทั้งยังว่า การสามารถเป็นที่พึ่งดังกล่าว ก็เป็นความสุขของเขา
“การเห็นรอยยิ้มของคนที่เราอยู่ใกล้ๆ เป็นสิ่งที่ผมโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงชอบนักกับการทำงานในบริษัทโฟร์ วัน วันฯ ที่แม้ธุรกิจนี้จะเริ่มต้นอย่างยากลำบาก หากก็ไม่ท้อ เพราะทุกครั้งที่ทำ สิ่งที่ได้รับกลับคือ รอยยิ้มจำนวนมากมาย
“รอยยิ้มของแฟนคลับ คนมาดูคอนเสิร์ต แล้วได้รอยยิ้มกลับไป เป็นอะไรที่สุดยอดมาก”
ส่วนความรักน่ะเหรอ เขาบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วไงว่า “โสด” ยอมรับว่า ด้วยที่ผ่านมาถึงจะมีคนคุยๆ อยู่บ้าง หาก “สุดท้ายแล้วผมก็ให้เวลากับงานเยอะ” เรื่องรักจึงมักจะตกๆ ไปในที่สุด
เรื่องของความรัก กึ้งว่าสำหรับเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุเช่นกัน
“แต่สิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คือสุดท้ายก็ต้องหาคนที่เข้าใจเราและเราเข้าใจเขา ไม่ใช่หาคนที่สามารถเปลี่ยนได้ในแบบที่เราต้องการ หรือเราต้องเปลี่ยนตามที่เขาต้องการ”
“เดี๋ยวนี้สังคมไทยเปลี่ยนไปเยอะ ไม่เหมือน 10-20 ปีที่แล้ว หรืออย่างสมัยพ่อแม่เรา ที่กว่าจะเจอกันได้ ความรักจึงเป็นอะไรที่ซ่อมมากกว่าเปลี่ยนแบบตอนนี้”
และแน่นอน ถ้าเลือกและตัดสินใจแล้วก็ไม่อยากจะเปลี่ยนหรอก
กับความรักที่ผ่านมา แม้เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นฝ่ายถูกหักอกมากกว่าหักอกคนอื่น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดหรือหวั่น
“ผมขอบคุณทุกๆ ความรัก”
ด้วยนอกจากจะมีความสุขทุกขณะที่รู้สึกรักแล้ว ก็ยังก่อให้เกิดประสบการณ์
“ขอบคุณที่ทำให้ได้เรียนรู้ เป็นคนที่ดีขึ้น”
“ถามว่ากลัวไหม ไม่กลัวครับ เพียงแค่เรารู้ว่าเราควรจะทำยังไงกับความรักมากกว่า”
ส่วนว่ามีธงในใจไหม ว่าจะรักผู้หญิงแบบใด
“ไม่เลย” คือคำตอบ
แค่ “เคมีตรงกัน”
“ความรักไม่ได้เป็นสิ่งที่วาดสมมุติไว้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดได้ ถ้าเรามีสเป๊กจะเหมือนเราใช้สมองมากกว่าหัวใจ แต่สำหรับผมใช้หัวใจมากกว่าสมอง ไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงชอบคนคนนี้”
“ก็ใจเราบังคับสมอง”
ซึ่งท้ายที่สุด ใจจะบังคับให้รักใคร เขาเองยังตอบไม่ได้จริงๆ