โค้งสุดท้ายเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

Scott Olson/Getty Images/AFP

โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วก่อนหน้าที่การเลือกตั้งจะมีขึ้นในเดือนหน้า ด้วยการบอกว่าเขาอาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หากว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตกำลังได้แรงหนุนส่งหลังจากผ่านการดีเบตแบบเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะผู้ชนะ

การดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา เริ่มต้นขึ้นด้วยผลงานที่ถือว่าดีที่สุดของทรัมป์นับตั้งแต่ขึ้นเวทีเผชิญหน้ากับฮิลลารีที่เตรียมตัวมาอย่างดีมาก โดยหลายครั้งถึงขนาดได้เห็นทรัมป์สามารถหลบหลีกเหยื่อที่ฮิลลารีวางล่อเอาไว้ได้

แต่หลังจากนั้น ท่ามกลางสายตาผู้ชมการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์หลายสิบล้านคน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากพรรครีพับลิกัน มุ่งหน้าสู่ความสับสนอลหม่านทางการเมือง โดยข่มขู่อย่างท้าทายว่า จะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และประกาศกร้าวว่าจะปล่อยให้ผู้คน “ลุ้นระทึก” อย่างอกสั่นขวัญแขวน

ขณะที่ฮิลลารีบอกว่า รู้สึก “ตกตะลึง” กับสิ่งที่เธอระบุว่าเป็นการโจมตีระบอบประชาธิปไตยอันยาวนาน 240 ปี ของสหรัฐอเมริกา

ด้านประธานาธิบดี บารัค โอบามา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการ “บ่อนทำลายประชาธิปไตยของเรา”

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ถอยออกจากจุดนั้นเล็กน้อยในวันถัดมาด้วยการบอกว่า เขาจะยอมรับผลการเลือกตั้งที่ “ชัดเจน” แต่เสริมด้วยว่า “ผมจะขอสงวนสิทธิ์ในการประท้วงคัดค้านหรือยื่นฟ้องร้องทางกฎหมายในกรณีที่ผลออกมาน่ากังขา”

แต่ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว โดยพรรครีพับลิกันเป็นกังวลว่า ไม่เพียงแต่โอกาสในการแย่งชิงทำเนียบขาวจากประธานาโอบามาแห่งพรรคเดโมแครตจะหลุดลอยไปแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ทั้ง 2 สภาด้วย

ฮิลลารีเริ่มมีคะแนนนำทิ้งห่างทรัมป์อย่างแข็งแกร่งทั่วประเทศและมีความได้เปรียบมากขึ้นเล็กน้อยในรัฐสวิงสเตต (รัฐที่ไม่ได้มีแนวโน้มไปในทางให้การสนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างชัดเจน) สำคัญหลายแห่ง หลังจากที่นักวิเคราะห์

และผู้ชมการดีเบตส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า เธอเป็นผู้ชนะในการดีเบตครั้งที่ 3 รวมถึงอีก 2 ครั้งที่ผ่านมาด้วย

 

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเข้าสู่โค้งสุดท้าย ฮิลลารีแทบไม่ต้องออกอาวุธเลย โดยมีแกนนำระดับสูงของพรรคเดโมแครตจำนวนมากทำหน้าที่นี้แทนเธอ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโอบามา และมิเชล สุภาพสตรีหมายเลข 1 รองประธานาธิบดี โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน สามีของเธอ เบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนต์ ที่เป็นคู่แข่งขับเคี่ยวกันในการเลือกตั้งขั้นต้นชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค และ ทิม เคน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ต่างปราศรัยหาเสียงแทนฮิลลารี ในรัฐสำคัญๆ ที่เป็นฐานเสียงของรีพับลิกัน อย่าง อริโซนาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้ชัยชนะของฮิลลารีในรัฐเหล่านี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว น้อยคนนักที่จะรู้จัก อีแวน แม็กมัลลิน แต่ผู้สมัครอิสระวัย 40 ปี ที่เพิ่งจะประกาศตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในรัฐยูทาห์ที่เป็นฐานเสียงอันแข็งแกร่งของพรรครีพับลิกัน จากการที่เขามีคะแนนนิยมพุ่งขึ้นมาแซงหน้าทรัมป์

ผลสำรวจความคิดเห็นของอีเมอร์สันที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบว่า แม็กมัลลิน อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน หรือศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ได้คะแนนนิยมในรัฐนี้ 31 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ทรัมป์ได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และฮิลลารีได้ไป 24 เปอร์เซ็นต์

ที่แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นจำนวนที่พอเห็นได้ค่อนข้างชัด สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 2 พรรคใหญ่

ซึ่งหากแม็กมัลลินเอาชนะการเลือกตั้งได้จริงในรัฐยูทาห์ ที่มีประชากร 62 เปอร์เซ็นต์นับถือนิกายมอร์มอน จะถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 ที่พรรครีพับลิกันพ่ายแพ้ในรัฐที่เป็นฐานเสียงอันแข็งแกร่งของตนแห่งนี้

 

อย่างไรก็ดี ชาวอเมริกันจำนวนมากได้เลือกผู้สมัครที่จะลงคะแนนให้ไว้ในใจแล้ว และท่ามกลางการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ที่โหดร้ายรุนแรงจากช่วงเวลาหลายเดือนของการโจมตีกันในเรื่องส่วนตัว ทำให้หลายคนรู้สึกอ่อนล้าและเหนื่อยหน่าย

และสิ่งหนึ่งที่ผู้สนับสนุนทั้ง 2 พรรคเห็นตรงกันโดย 55 เปอร์เซ็นต์ของเดโมแครตและ 59 เปอร์เซ็นต์ของรีพับลิกันระบุว่า รู้สึกตึงเครียดมากกับการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ อ้างอิงจากผลสำรวจของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (เอพีเอ)

ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่ดูเหมือนชาวอเมริกันจำนวนมากต้องการมากที่สุดคือ ยุติความขัดแย้งในการหาเสียงเลือกตั้งที่ขมขื่นมากที่สุด ระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2 รายที่ไม่เป็นที่นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาลงอย่างสมบูรณ์