ทวีปที่สาบสูญ : เหมือนเจ้าหล่อนเคยทำมาแล้ว นับพันๆ ครั้ง

ฉันคิดมาตลอดว่า ตัวเองจะต้องเก่งขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา จะมากน้อย ฉันก็มีประสบการณ์มามากพอตัว และหัวใจฉัน จะต้องไม่มีวันหวั่นไหวกับใครจริงๆ อีก

แต่แล้วไม่เลย…เป็นแค่เรื่องตลกทั้งเพ อยู่ดีๆ ฉันก็ตื่นขึ้นจากความฝัน เพื่อจะพบอีกฝันซ้อนแนบอยู่

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร การที่หัวใจติดพันกับใครสักคนหนึ่ง ซึ่ง…ไม่ใช่ทุกๆ คนจะทำให้รู้สึกอย่างนั้น

มีคนบอกว่าชอบฉัน แต่ก็เท่านั้น ฉันพยายาม…จะถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ารู้สึกยังไง

ใช่ ฉันก็ชอบคนๆคน ผู้หญิงผมยาวที่สูงสง่าน่าดูกว่าใคร แต่…ก็ไม่ทำให้ฉันหวั่นไหว เหมือนต้นดอกไม้ที่โดนลมพัดอยู่แรงๆ แต่แค่อีกคนหนึ่ง “แกล้ง” ทำเมิน ทำไม่มองหน้า กลับราวว่าจะขาดใจได้

มันคืออะไร? มันช่างลึกลับ ฉันไม่เข้าใจ

จอมฝันต่างอะไรกับคนอื่น? หรือเหมือนกับใคร? แพรวพลอย นางฟ้า หรือว่า…นังแพศยาอัมพรคนนั้น

ไม่เหมือนใครเลย…แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง

 

อีกหลายวันถัดจากนั้น

ลมพัดมาจากทางใต้ ปะทะใบหน้าและเป่าปลายผมจนปลิว ฉันปั่นจักรยานออกจากบ้านตัวเองไปในยามค่ำ ผ่านไปบนถนนลูกรังคดเคี้ยว ทะลุผ่านสองหมู่บ้าน จนเลยพ้นสถานีอนามัยที่ดูเปลี่ยวเหงาในยามโพล้เพล้ ตะวันกำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะเหลือแค่แสงขีดรอยบนแก้มฟ้า

ผ่านบ้านเรือนหลายหลัง คนส่วนใหญ่กำลังเตรียมมื้อค่ำยามแลง เห็นคนกำลังถอดหมวกออกหัว เช็ดเหงื่อคราบไคล บ้างคงเพิ่งกลับจากไร่นา ปลดเสื้อแขนยาวแขวนใต้ถุนบ้าน ยินเสียงหมูหมากาไก่เซ็งแซ่ ผ่านไปอีก จนแว่วเสียงคนทะเลาะด่าทอกัน และเสียงเด็กร้องไห้จ้า

ทว่า…พอเลี้ยวโค้งหัวมุมสุดท้าย ถึงกำแพงอิฐสูงที่ดูแตกต่างจากบ้านใครๆ มีซุ้มเฟื่องฟ้าดกหนา สีชมพูแจ๊ดเหมือนกระดาษสา กลีบจำนวนมากร่วงคลุมโคนต้น บางส่วนยังปลิวไปตกค้างตามขอบกำแพง

จอดจักรยาน พยายามซุกรถถีบเข้าไปแอบใต้กอเฟื่องฟ้า แล้วยืนแหงนหน้ามองขึ้นไป

บ้านไม้สักหลังใหญ่…ทาน้ำมันเลื่อมปราบ สูงถึงสองชั้น มีม่านสีเขียวระย้าหลังหน้าต่างกระจก

ต่างกันลิบลับกับบ้านของฉัน

“มาหาใครคะ”

เด็กผู้หญิงสวมแว่นคนหนึ่งโผล่หน้ามา

“เอ้อ…ปละ เปล่า ไม่ได้มาหาใคร” ฉันรีบชิงปฏิเสธ

ใจคิดว่า มาเห็นเท่านี้ก็พอแล้ว แต่พอจะเอี้ยวตัวเอารถออก เด็กนั่นก็ร้องถามอีก

“แล้วน้ามาซุ่มทำอะไรอยู่ตั้งนาน!”

“คุยกับใคร หนูแว่น”

อีกเสียงดังจากหลังรั้ว ฉันใจหายวาบ และร้อนไปหมดทั้งหน้าเมื่อคนผมสั้นร่างเล็กเปิดประตูเหล็กออกมา

“อ้าว! น้อง”

 

ฉันทำตัวไม่ถูก รู้สึกผิดที่ผิดทางไปหมด ยิ่งเมื่อมองดูรอบตัว

เครื่องเรือนแต่ละชิ้นทำจากไม้สักขึ้นเงาวับ ตู้โชว์หมอนสีชมพู ผ้านวมหนาในถุงพลาสติกมีซิป ทัปเปอร์แวร์ซ้อนพูน ตุ๊กตากระเบื้องรูปกามเทพแผลงศร อีกสองตัวเป็นเด็กชายหญิงมีปีกยื่นหน้าจูบกัน มีกระทั่งกล่องใส่ทิชชูร้อยลูกปัดหลากสี ไหนจะโซฟาหุ้มผ้าแดงลายดอก ตัดฉับกับม่านสีขนนกแก้ว

ในห้องโถงที่จอมฝันพาเข้ามานั้น ทุกอย่างแปลกหูแปลกตาไปหมด

ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเห็นบ้านคนรวยอย่างนี้ หรือรวยกว่านี้ จากที่เคยไปทำงานรับจ้างมา แต่ว่า…บ้านพวกนั้นไม่ได้อยู่ในตำบลเดียวกันแบบนี้

ยิ่งดู ใจยิ่งปร่าฝ่อลง

“…เรากลับก่อนดีกว่า”

“เดี๋ยวสิ!”

คนผมสั้นกลับคว้าข้อมือไว้

“จะรีบไปไหน อุตส่าห์มาถึงนี่”

“คือ…” หัวฉันคิดหาคำพูดแก้ตัว “รถเสียน่ะ โซ่หลุดพอดี รถเก่าก็แบบนี้ ค่ำมากแล้ว เดี๋ยวแม่รอกินข้าว”

จอมฝันมองหน้าฉัน

“แล้วน้องมาทำไมแถวนี้”

“หนูเห็นน้าเค้ามาจอดรถถีบน้านนานแล้วค่ะ” เด็กแว่นแทรกขึ้น “คุ้นๆ ว่าเคยเห็นหน้า หนูว่าน้าคนนี้แหละที่ชอบขี่รถมาวนเวียนแถวบ้านเราบ่อยๆ”

ฉันหน้าชาขึ้นมาอีก นึกอยากอุดปากเด็กนั่นเต็มทน

ใช่ ฉันมักขี่รถถีบแวะเวียนมา ครั้งแรกเพียงอยากรู้ว่า บ้านของจอมฝันหลังไหน พอรู้ ก็อดไม่ได้จะมาเฝ้าเหลือบแลมอง

หลายต่อหลายครั้ง มักทำเหมือนขี่รถผ่าน ก่อนจะวกกลับไป…สู่บ้านซอมซ่อของตัวเอง

“เออ แว่นอยากกินขนมโก๋ไม่ใช่หรือ ไปซื้อสิ”

จอมฝันหันไปพูดกับเด็กหญิง พลางควักกระเป๋า

“เอาหมากฝรั่งให้น้าด้วยกล่องหนึ่ง แต่ไม่ต้องรีบนะ จะคุยธุระกับเพื่อนก่อน”

“อือ” เด็กหญิงพยักหน้า รีบรับสตางค์ออกจากห้องไป

“น้อง…พี่!” จอมฝันเรียกฉัน

“…คะ”

“ทำหน้าอะไรยังงั้น ไม่ชอบเด็กเหรอ หนูแว่นออกจะน่ารัก”

“…ก็น่ารักดีค่ะ” ฉันฝืนใจตอบ ดูออกว่าเด็กนั่นไม่ค่อยไว้ใจฉัน และฉันไม่ชอบสายตาสอดรู้นั้นเช่นกัน “หลานเหรอคะ”

“ลูกของพี่สาว” คนผมสั้นตอบ และตามด้วยคำถามที่ฉันไม่ทันตั้งตัว “น้องเป็นอะไร รังเกียจบ้านพี่หรือ ดูสิ เก้าอี้ยังแทบไม่นั่ง”

“มะ…ไม่ใช่”

“งั้นไปคุยกันบนห้องพี่ดีกว่า”

จอมฝันคว้าหมับที่ข้อแขน และพาลากไปหาบันได

 

ห้องของจอมฝันอยู่ชั้นบนของบ้าน ไม่กว้างมากนัก หากตกแต่งหรูหราไม่แพ้ข้างล่าง เตียงไม้สักปูที่นอนสปริง หัวนอนมีวิทยุสเตอริโอ เสาอากาศแวววาว คนละตัวกับที่เจ้าหล่อนหิ้วไปทำงานบ่อยๆ ตัวนั้นเป็นทรานซิสเตอร์ใช้ถ่าน แต่ตัวนี้เสียบไฟฟ้า มีช่องเล่นเทปด้วย

ชาตินี้ คนอย่างฉันคงไม่มีวันได้เป็นเจ้าของ

“มา นั่งคุยกันหน่อยซิ”

จอมฝันผลักฉันลงบนขอบเตียง แล้วตัวเองเดินไปกดปุ่มลูกบิดประตู

ที่บ้านพ่อแม่นั้น พวกเรายังลงดาลสลักด้วยไม้อยู่เลย…

“คิดอะไร!”

ฉันเกือบสะดุ้งอีกครั้ง คนตัวเล็กตบเบาลงที่หน้าขา และถือวิสาสะวางมือไว้แบบนั้น ก่อนจะหย่อนตัวลงข้างๆ

“มะ…ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดไม่ถึงว่า พี่จะเป็นคนมีเงินขนาดนี้”

จอมฝันหัวเราะ

ในเวลานั้น ฉันเห็นฟันซี่เล็กๆ เหมือนฟันกระต่าย ผิวสีน้ำผึ้งละเอียดใกล้ตา แววตาที่ดูจะขบขันฉันอยู่…ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งเห็นในความสวยไม่เหมือนใคร

“…แล้วพี่ไปทำงานแปลงเพาะทำไม…ทำไมไม่ไปโรงเรียน”

อดถามไม่ได้

สำหรับคนรวยอย่างนี้ ถ้าจะเข้าเรียนต่อมัธยมก็ทำได้ ไม่เหมือนฉันที่ไร้สตางค์และไร้โอกาส นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ…ทำไม?

บ้านใหญ่โตหรูหราขนาดนี้ ยังจะไปรับจ้างเอาเงินจากการออกเหงื่อออกแรง

ทว่าคำตอบเหนือความคาดหมาย

“ไม่ชอบ ขี้เกียจเรียน”

“อ้าว…” ฉันมองหน้า

“ที่โรงเรียนมีแต่พวกคร่ำครึ จีบสาวก็ไม่ได้”

ฉันเกือบตกตะลึง

“ทำไม แปลกใจอะไร?”

ผู้หญิงผมสั้น ตากระจ่างดั่งดาว คนที่นุ่งผ้าถุงได้สวยจับใจ กลับพูดในสิ่งที่ไม่ธรรมดาสำหรับฉัน…

ใจเต้นและมือชา ฉันไม่รู้…ไม่รู้จะพูดจายังไง

“ช่างเถอะ น้องบอกพี่มาดีกว่า มาแถวนี้ทำไม”

 

ฉันคิดว่าจอมฝันรู้ เจ้าหล่อนต้องรู้ เพราะอายุที่มากกว่าฉันนั่นก็ใช่ ไหนจะความฉลาดคมคาย ฟังจากคำพูดจา กิริยาท่าที…แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ มือนั้นจะยื่นเข้ามาจนใกล้

“เออแน่ะ พี่ชอบตาน้องจัง”

ฉันหลบไม่ทัน ได้แค่หลับตาทันควันตามสัญชาตญาณ

รู้สึกได้ถึงรอยไล้แผ่วเบาบนหน้า

“ดูซิ ขนตาง้อนงอน รับกับผมงอๆ ข้างหูเชียว”

ใจฉันแทบกระโดดออกมานอกอก อะไรกัน…มือซนนั้น ยังลูบเลยมาถึงไหล่

“เห็นตัวเล็กแบบนี้ ท่าทางจะแข็งแรงนะนี่ มีกล้ามด้วย”

ลืมตาขึ้น และพบว่า ใบหน้าของจอมฝันใกล้เข้ามามากกว่าเดิม

“…พี่ก็…ตัวเล็กนี่คะ” ฉันหายใจแรง

“เออ นั่นซี” จอมฝันตอบ “ตัวเล็กเท่ากันก็ดีนะ เวลานอนด้วยกันไม่เปลืองที่ ไหน ลองดูซิ!”

ไม่ทันตั้งตัว จอมฝันเหนี่ยวตัวเต็มแรงจนล้มลงด้วยกัน ขาฉันพาดห้อยขอบเตียงอยู่ ผู้หญิงผมสั้นพลิกมาทาบทับบนตัว ฉันแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินคำถาม

“บอกมาเดี๋ยวนี้ มาเพราะคิดถึงพี่ใช่หรือเปล่า?”

 

ให้ตายเถอะ ฉันไม่คิดสักนิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เวลาที่เด็กผมขอดอยู่ใต้ร่างกายฉัน มันเป็นความรู้สึกแบบนี้หรือไม่ ทุกอย่างช่างสะเทือนให้หวั่นไหว

อุ่น…ผ่าว แผดเผาปานจะลุกไหม้ รู้ตัวว่าอกกำลังสะท้อนขึ้นลงเมื่อตาคมจ้องมา

เหมือนดาบบางเฉียบ กรีดรอยพาดจากจุดกึ่งกลางนัยน์ตา ฉีกห้วงอารมณ์เป็นสองฟากฝั่ง หนึ่งระทึก หนึ่งหวาดไหว หรือนี่เองความสะท้อนสะท้าน ราวตัวเองไม่เคยผ่านมือใคร

สำเหนียกได้แค่ว่า สายตากับรอยยิ้มนั่นร้ายกาจสิ้นดี

“ไม่เอาค่ะพี่” ปากฉันพูดออกไป

แต่…แขนและไหล่กลับอ่อนแรง ไม่แม้แต่จะยันตัวลุกได้ ห้องเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นมา เหงื่อไหลซึมจนเหนอะหนะ…

“ร้อนละสิ” จอมฝันพูด “งั้นถอดเสื้อออกดีกว่า แขนยาวแบบนี้อึดอัดออก”

ฉันตัวแข็งทื่อ ขณะมือที่เชี่ยวชาญเริ่มแกะกระดุมอย่างคล่องแคล่ว เหมือนเจ้าหล่อนเคยทำมันมาแล้วนับพันๆ ครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองพยายามรั้งตัวหนี แต่ที่เกิดขึ้นคือ เสื้อยิ่งถูกปลดรูดออกไป

ยังมีเสื้อยืดข้างในอีกตัว แต่…ไม่ใช่อุปสรรคของจอมฝันเลย

“…พี่จะทำอะไร” ฉันเสียงสั่น

มันยังไม่มืดเลย และนี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันคุ้นเคยด้วย

“ยังจะถามอีก” เสียงแผ่วๆ กรอกหู “นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้หรือคะ?”