ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอนที่ 8 “ความรักในแบบของตัวเอง”

What We Talk About When We Talk About Love

เริ่มเรื่อง

เพื่อนของผมที่ชื่อว่าเมล แม็กจินนิส กำลังเปิดการสนทนา เมล แม็กจินนิสนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ และหลายครั้งมันทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ถือสิทธิในการเปิดวงสนทนา

พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่รอบโต๊ะกลางครัวของเขา แสงแดดลอดเข้ามาจากทางหน้าต่างบานใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังอ่างล้างจาน

สี่คนที่ว่านั้นประกอบไปด้วยเมล ผม ภรรยาคนล่าสุดของเมลนามเทเรซ่า เทอริ และภรรยาของผม ลอร่า

พวกเราอาศัยอยู่ที่เมืองอัลบูแกร์ในรัฐนิวเม็กซิโก แต่พวกเราทุกคนล้วนมีบ้านเกิดจากที่อื่น

มีถังน้ำแข็งวางอยู่บนโต๊ะ พวกเราเวียนส่งจินและน้ำโทนิกให้กันไปมา

และในที่สุดเราก็มาถึงบทสนทนาว่าด้วยความรัก

เมลเชื่อว่าความรักที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องสูงส่งพอๆ กับความศรัทธาในศาสนาเลยทีเดียว

เขาเล่าว่าเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนสอนศาสนาเป็นเวลาถึงห้าปีก่อนจะลาออกไปศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์

เขายังเล่าอีกว่า ช่วงเวลาห้าปีที่นั่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับชีวิตเขา

 

ในขณะที่เทอริเล่าว่า คนรักเก่าของเธอที่เธอเคยใช้ชีวิตร่วมกับเขาก่อนจะมาพบเมลรักเธอมาก เขารักเธอมากจนถึงกับพยายามที่จะฆ่าเธอ

เทอริเล่าว่า “คืนหนึ่งเขาทำร้ายฉันอย่างสาหัส เขาจับข้อเท้าฉันและลากฉันไปรอบๆ ห้องรับแขก ระหว่างนั้นเขาพร่ำพูดว่า “ผมรักคุณ ผมรักคุณมาก อีห่าเอ้ย แล้วเขาก็ลากฉันไปรอบๆ หัวของฉันกระแทกเข้ากับสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา” เทอริกวาดตามองมายังพวกเราทุกคนแล้วถามว่า

“พวกคุณคิดอย่างไรบ้างกับความรักแบบนี้?”

เทอริเป็นสาวผอมบางที่มีใบหน้างดงาม เธอมีดวงตาสีดำขลับ มีผมสีน้ำตาลที่ปล่อยยาวมากลางหลัง เธอชอบสวมสร้อยคอที่ทำจากหินเทอร์คอยซ์และชอบสวมตุ้มหูที่ยาวระโยงระยาง

“ให้พระเจ้าเป็นพยานเถิด อย่าทำตัวงี่เง่านักเลย นั่นไม่ใช่ความรัก คุณเองก็รู้ดี” เมลสบถ

“ผมไม่รู้หรอกว่านิยามความรักของคุณคืออะไร แต่เรื่องราวแบบนั้นไม่ใช่เรื่องราวของความรักแน่”

“ตามใจคุณสิ จะคิดอย่างไรก็ตามใจ แต่ฉันเชื่อมั่นว่านั่นคือความรัก” เทอริพูด

“มันอาจฟังดูบ้าๆ บอๆ สำหรับคุณ แต่นั่นเป็นความรักเช่นกัน คนเรามันแตกต่างกันนะเมล บางครั้งเขาอาจจะทำอะไรแปลกๆ เพี้ยนๆ แต่เขาก็รักฉันตามแบบฉบับของเขา เราทั้งคู่รักกันจริงๆ เมล อย่าคิดว่าเราไม่ได้รักกัน”

 

เมลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาถือแก้วจินไว้ในมือแล้วหันมามองผมและลอร่า “ผู้ชายคนนั้นขู่ฆ่าผมด้วยนะ” เมลพูด เขาดื่มเหล้าในแก้วจนหมดและคว้าขวดจินมาเติมเหล้าแก้วใหม่

“เทอริเป็นพวกคนโรแมนติก เธอเป็นคนพวกที่เชื่อว่าการทำร้ายกันเป็นการแสดงความรักแบบหนึ่ง เทอริ แม่ทูนหัว อย่าแสวงหาความรักจากอะไรแบบนั้นสิ” เมลเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาสัมผัสแก้มของเทอริ เขายิ้มให้เธอ

“ตอนนี้คุณอยากสร้างบทสรุปแล้วละสิ” เทอริพูด

“บทสรุปอะไร?” เมลพูด “มีอะไรที่ต้องสรุปหรือ? ผมเพียงแค่รู้ในสิ่งที่ผมควรรู้เท่านั้นเอง”

“เรามาถึงหัวข้อนี้ได้อย่างไร?” เทอริกล่าว เธอยกแก้วจินขึ้นดื่ม “เมลเป็นคนชอบคิดถึงเรื่องราวของความรัก” เธอพูด “ฉันพูดถูกใช่ไหม? ที่รัก” เธอยิ้ม และนั่นทำให้ผมสังหรณ์ใจว่าการสนทนาในเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ

“ผมเพียงแค่ไม่อาจยอมรับได้ว่าพฤติกรรมของเอ็ดเป็นการแสดงออกของความรัก นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามพูด ทูนหัว” เมลกล่าว “พวกคุณคิดว่าอย่างไร?” เมลพูดกับผมและลอร่า

“พวกคุณคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรอกหรือ?”

 

“ผมคงเป็นคนสุดท้ายที่จะตอบเรื่องนี้ได้” ผมพูด

“ผมไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น หรือรู้ก็เพียงแต่ชื่อของเขา ส่วนอื่นนั้นผมไม่ล่วงรู้เลย คุณจำเป็นต้องรู้อะไรมากกว่านี้ถึงจะให้ความเห็นอะไรได้ แต่เท่าที่ฟังจากคุณนะเมล ผมคิดว่าความรักในทัศนะของคุณนั้นดูจะมีอยู่เพียงแบบเดียวและเป็นแบบเดียวที่โต้แย้งไม่ได้ด้วย”

เมลตอบผม “ความรักในแบบที่ผมพูดถึง ความรักในแบบที่ผมพยายามอธิบายถึงนั้นคือความรักที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการที่คุณต้องฆ่าใครบางคน”

ลอร่าตัดบท “ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอ็ด และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเทอริ แต่เราสามารถตัดสินความรักของคนอื่นได้ละหรือ?”

ทั้งหมดนั้นคือหนึ่งหน้าแรกของเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า What We Talk About When We Talk About Love (เราคุยอะไรกันเมื่อเราคุยกันถึงเรื่องความรัก) ของนักเขียนอเมริกันนามเรย์มอนด์ คาร์เวอร์-Raymond Carver

งานเขียนของคาร์เวอร์นั้นมักเริ่มต้นด้วยเรื่องราวธรรมดาสามัญที่เราคุ้นชิน

บทสนทนาที่ไม่ยืดยาวและแง่มุมแปลกๆ ที่ชวนคิด

ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสั้นชื่อ Why Dont You Dance ของเขาที่เล่าถึงการจับคู่เต้นรำของเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่ง

เรื่องสั้นเรื่อง What We Talk About When We Talk About Love ดูจะทำหน้าที่ชวนเราให้คิดในประเด็นที่ว่า “มีนิยามความรักที่แท้จริงอยู่ หรือและเราสามารถตัดสินความรักของผู้อื่นได้หรือไม่?”

พฤติกรรมของเอ็ดที่กระทำรุนแรงต่อเทอริในนามของความรัก-In the name of love นั้นจะถือเป็นความรักได้หรือไม่ และเราจะมีกฎเกณฑ์ใดในการตัดสินความรักแบบนั้น

(หากเราถือว่ามีสิทธิที่จะตัดสินความรักของคนอื่นได้)

 

น่าสนใจว่าชื่อเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนังสือด้านจิตวิทยาความรักเล่มสำคัญเล่มหนึ่งของนักจิตวิทยาหญิงชาวฟินแลนด์นามคามิลล่า ครอนวิสต์-Camilla Kronqvist (ซึ่งเราคงได้พูดคุยถึงเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้อีกเสมอๆ) เธอได้พูดถึงแง่มุมต่างๆ ของความรักทั้งในแง่เหตุผล ในเเง่อัตลักษณ์ ในแง่ของอารมณ์ และอีกหลายประเด็น

แต่ในเรื่องราวของการตัดสินความรักของบุคคลอื่นนั้น คามิลล่าบอกว่าพวกเรามีแนวโน้มจะตัดสินความรักของใครก็ตามจากการคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่พวกเขาจะได้จากความรักนั้นๆ และปัญหาที่เกิดขึ้นจากการตัดสินเรื่องความรักของใครก็ตามมาจากการที่เราใช้ประสบการณ์และข้อมูลส่วนตัวของเราในการมองความรักของผู้อื่น

(เรื่องราวแบบนี้จะพบเห็นได้ในกลุ่มผู้ปกครองที่มักจะพูดว่าลูกหรือหลานของเรายังมีอายุไม่เหมาะสมที่จะมีความรัก การมองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะนั้นส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ส่วนตนของผู้ปกครองด้วย หากพ่อแม่แต่งงานในอายุที่ล่วงเลย พวกเขามีแนวโน้มที่จะเห็นว่าความรักในวัยรุ่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่หากพ่อแม่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาจะมองว่าความรักในวัยรุ่นคือรากฐานของการสร้างครอบครัว เป็นต้น หรือในกลุ่มคนที่มีความรักต่างเพศ พวกเขาก็จะมองแนวโน้มของความรักในเพศเดียวกันว่ามันจะไม่ยั่งยืน)

ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้จะถูกทำให้จริงจังขึ้นเมื่อได้พบกับกรณีศึกษาที่ลงรอยกับประสบการณ์ และเมื่อใดก็ตามที่มีกรณีศึกษาที่ขัดแย้งกับประสบการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็จะพูดเพียงว่า

“คู่รักเหล่านั้นเป็นคนโชคดี”

 

สภาวการณ์ไม่อาจเห็นหรือเข้าใจความรักในแบบอื่นๆ (อันเป็นสิ่งที่ลอร่า ตัวละครในเรื่องสั้นพยายามชี้ให้เห็นนั้น)

นักจิตวิทยานามคามิลล่าเรียกมันว่าสภาวะ “จุดบอด หรือ-Blind Spot” ในการเข้าใจความรักของเรา

มนุษย์นั้นมักคิดว่าความรักเป็นเรื่องของอารมณ์ ความสะเทือนใจ ความตื้นตัน ความปีติ ความเต็มเปี่ยม เมื่อเป็นความรักของตน พวกเขาตัดสินความรักของตนเองผ่านเงื่อนไขเหล่านี้ แต่ตัดสินความรักของคนอื่นผ่านทางการคาดเดาและเป็นการคาดเดาด้านประสบการณ์ที่อาจเป็นประสบการณ์จากการอ่าน ฟัง หรือสัมผัสมาจากบุคคลอื่น น้อยคนนักที่จะเอาประสบการณ์ส่วนตนมาใช้วินิจฉัยความรัก พวกเขาหวาดเกรงเกินกว่าที่จะเปิดตนเองเพื่อใช้ประสบการณ์นั้นในที่แจ้ง

ในฉากสุดท้ายของเรื่องสั้นชื่อ What We Talk About When We Talk About Love คาร์เวอร์ดูจะสรุปการยอมจำนนต่อการแสวงหานิยามของความรัก เหล้าจินหมด ทุกคนเงียบ ตัวเอกเล่าว่าเสียงที่เขาได้ยินมีเพียงแต่เสียงหัวใจของตนเองและเสียงหัวใจของผู้อื่น

มีแต่เสียงที่ว่านั้น จนกระทั่งความมืดเดินทางมาเยือน