วิเคราะห์ ทำไมต้อง? “จ๊วบ จ๊วบ”

ในประเทศ

จ๊วบ จ๊วบ

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ไอจี inshin21 ของอุ๊งอิ๊ง – แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

โพสต์รูปนายทักษิณที่ถือแก้วน้ำหวาน โดยมีตนเองกับพี่สาวพินทองทา คุณากรวงศ์ กำลังดูดน้ำจากแก้วใบนั้น

โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า หลอดดูดของ 2 พี่น้อง คนหนึ่ง “สีเหลือง” คนหนึ่ง “สีแดง”

พร้อมระบุแคปชั่นว่า

“2 สาวเมื่ออยู่กับพ่อก็กลับไปเป็นเด็กได้ทุกเมื่อ…

พ่อบอกหลอดแดงเหลืองกลมเกลียวกันสวยงาม

ทางเราก็ไม่ติด เลยทำตัวกลมไปด้วยตามกระแส…”

ต่อมานายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย มาโพสต์ข้อความแสดงความเห็นต่อท้ายว่า

“ลึกจังง…”

 

แม้อุ๊งอิ๊งจะบอกว่า นี่คือการเล่นของคนที่ย้อนกลับไปเป็นเด็ก

ดูดน้ำหวาน จ๊วบ-จ๊วบ

แต่คำว่า “ลึกจังง…” ที่พี่โอ๊คว่า นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอยู่ไม่น้อย

ลึกอย่างไร

คงต้องไปฟังความเห็นของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ที่กล่าวระหว่างการเสวนาที่คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายตรวจสอบภาคประชาชนจัดขึ้น

หัวข้อ “อนาคตประเทศไทย ตายหรือตันก่อนการเลือกตั้ง” เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 

โดยนายจตุพรกล่าวว่า

“รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกออกแบบให้มีเรื่องได้ตลอดเวลา

วันนี้ทุกฝ่ายมีการเรียกร้องให้ปลดล็อกทางการเมือง แต่ก่อนอื่นคือต้องปลดล็อกจิตใจ คลายล็อกหัวใจให้ได้ก่อน

เพราะขณะนี้มีความชุลมุน เสียงระฆังยังไม่ทันเริ่มก็มีการชกกันใต้เวที

แบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งเกิดความวุ่นวาย

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบให้ถ้าได้ ส.ส.เขตมา ส.ส.บัญชีรายชื่อจะหาย ยิ่งได้ ส.ส.เขต ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็ยิ่งหาย

เป็นรัฐธรรมนูญที่มีคนบอกว่า แยกกันเราอยู่ รวมกันเราตาย

สำหรับกรณีนายกฯ คนนอกนั้น ก่อนที่จะเข้าไปเป็นนายกฯ เขามีดาบอาญาสิทธิ์มากมาย มีกฎหมายที่ทำให้ตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์

แต่พอเข้าไปเป็นนายกฯ คนนอกแล้ว ดาบนี้จะหายไป ท่านจะทนการตรวจสอบได้หรือไม่

วันนี้นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคต้องคุยกัน

อย่าเพิ่งหาเศษหาเลยกันตอนนี้

เพราะถ้าเริ่มต้นกันแบบนี้ หลังเลือกตั้งจะยิ่งมีเรื่องหนัก

วันนี้ต้องสร้างบรรยากาศ มาหารือกันว่าภายใต้กติกาที่แก้ไขอะไรไม่ได้นี้จะทำอย่างไรให้สถานการณ์มันไม่เป็นแบบพฤษภา 2535

ผมไม่สนใจว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง

แต่ผมสนใจว่าจะทำอย่างไรให้ไม่มีคนเจ็บ คนตาย เหมือนที่ผ่านมา

คนไทยกลัวคำว่า “ไม่สงบ”

คือ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็มักจะถูกอ้างด้วยคำว่าไม่สงบ

สิ่งนี้คือสิ่งที่หลอกหลอนคนไทย

ดังนั้น สิ่งที่ต้องช่วยกันคือการสร้างบรรยากาศแห่งความสงบก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

ผมอยากเห็นประเทศไทยในระยะที่เรียกว่าระยะเปลี่ยนผ่านนี้มีความสงบ

จะฝากอนาคตไว้ที่ซีกใดซีกหนึ่งไม่ได้

แต่ต้องฝากไว้กับทุกฝ่ายที่ต้องมาคุยกัน ตกลงกัน

เอาประชาธิปไตยมาให้ได้ก่อน

เอาเรื่องส่วนรวมมาก่อนเรื่องส่วนตัว

ถ้าพรรคการเมืองมาตกลงกันให้ได้ว่าใครจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้จับมือในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่รวมกันมาจากเสียงข้างน้อย แล้วบีบให้กลายเป็นเสียงข้างมาก

ในสภาใครรวมเสียงกันได้ 250 เสียง ก็เป็นรัฐบาล หากเป็นแบบนี้ก็จะปิดประตูนายกฯ คนนอก

ถ้าซีกพรรคการเมืองได้มีโอกาสคุยกัน ตกลงกัน แล้วไปบอกผู้มีอำนาจว่าเราตกลงกันแบบนี้ ทำเป็นสัญญาประชาคม แล้วให้ประชาชนตัดสิน แบบนี้ก็จะแก้ปัญหาได้

แม้ว่าจะเห็นต่างกัน ก็พูดคุยกันได้ โดยเคารพกติกา

ถ้าทำแบบนี้ได้จะสามารถหาทางออกจากวิกฤตได้”

 

พิจารณาตามคำพูดนายจตุพรข้างต้น

จะเห็นว่า เน้นไปให้พรรคการเมือง นักการเมือง สามัคคีกัน

จับมือจัดตั้งรัฐบาลและหาผู้นำรัฐบาลให้ได้ ในเวทีรัฐสภา

จะฝากอนาคตไว้ที่ซีกใดซีกหนึ่งไม่ได้

แต่ต้องฝากไว้กับทุกฝ่ายที่ต้องมาคุยกัน ตกลงกัน

เอาประชาธิปไตยมาให้ได้ก่อน

นั่นย่อมหมายถึง การสลายขั้วแดง ขั้วเหลือง ลงเสีย

พรรคการเมืองแข่งขันกันรวบรวมเสียง ใครได้เสียงข้างมาก ก็จัดตั้งรัฐบาล ตั้งผู้นำ

ยอมรับเสียงข้างมาก

ไม่ยึดขั้วใดขั้วหนึ่ง สีใดสีหนึ่ง จนทำอะไรไม่ได้ นั่นก็เท่ากับเปิดทางให้นายกฯ คนนอกสอดแทรกเข้ามานั่นเอง

ซึ่งนั่นก็สอดคล้องกับสิ่งที่อุ๊งอิ๊งระบุ

นั่นคือ

“พ่อบอกหลอดแดงเหลืองกลมเกลียวกันสวยงาม”

 

นี่ถือเป็นข้อเสนอ “ล่าสุด” จากนายทักษิณ แม้จะถูกนำเสนอแบบ “ทีเล่นทีจริง”

แต่แฝงเอาจริงอยู่เช่นกัน

นั่นคือ ข้อเสนอให้แต่ละขั้ว แต่ละสี ควรหยุดขัดแย้งกันก่อน

กลุ่มคนเสื้อแดงและเหลืองควรรวมกันเป็นขั้วเดียวภายใต้สัญญาประชาคม เพื่อต่อสู้กับขั้ว คสช.

ภายใต้เงื่อนไขใครได้เสียงข้างมาก ก็เป็นหลักในการจัดตั้งรัฐบาลไป

เสียงข้างน้อยจะยอมร่วมทำงานหรือไปเป็นฝ่ายค้าน ก็แล้วแต่ความสมัครใจ

แต่ท่าทีล่าสุดของนายทักษิณ ดูเหมือนจะพยายามให้เป็นการต่อสู้ของ 2 ขั้วคือ เอากับ คสช. หรือไม่เอากับ คสช.

ซึ่งนั่นย่อมจะทำให้การต่อสู้มีน้ำหนัก และทำให้ประชาชนตัดสินใจได้ง่ายว่าจะเลือกฝ่ายใด

 

แต่ก็นั่นแหละ ข้อเสนอนี้จะได้รับการขานรับจาก คสช.และคนเสื้อเหลือง หรือไม่ ยังเป็นคำถามอยู่

คสช.นั้นคงไม่ต้องการให้เกิดทางเลือกเพียง 2 ทางอย่างแน่นอน เพราะการเอาหรือไม่เอา คสช.นั้น

มันก็ไม่ต่างจากคำพูดว่า จะเอาเผด็จการ หรือไม่เอาเผด็จการ ซึ่งฝ่ายถูกมองว่าเป็นเผด็จการย่อมเสียเปรียบ

ดังนั้น คสช.จึงต้องไม่ยอมให้เกิดข้อเสนอนี้ และพยายามให้การต่อสู้ทางการเมืองเป็นการต่อสู้ของพรรคหลายพรรคมากกว่า

โดย คสช.จะวางสถานะตนเองเป็นผู้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจเป็น 1 ใน 3 รายชื่อที่ถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกันก็คงพยายามเป็นแนวร่วมกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อย่างแข็งขัน

ซึ่งนั่นก็หมายถึง การดึงเอามวลชนคนเสื้อเหลืองมาอยู่กับฝ่ายตน

ไม่ให้ไหลรวมเป็นขั้วเดียวกับคนเสื้อแดง

พร้อมกันนั้น ก็คงเอื้อมมือไปแตะไว้กับพรรคการเมืองเก่าอย่างภูมิใจไทย พลังชล ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา เอาไว้เป็นพันธมิตรด้วย

ซึ่งเท่ากับปิดล้อมไม่ให้พรรคการเมืองต่างๆ ไหลเทไปอยู่ข้างพรรคเพื่อไทย

 

การปิดล้อมดังกล่าว ทำให้นายทักษิณ นอกเหนือจากจะหาพรรคพันธมิตรอย่างพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติแล้ว

ยังอาจมีเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ

จำเป็นจะต้องทะลวงเข้าไปฝั่งของฝ่ายตรงข้ามด้วย

นี่กระมัง จึงนำมาสู่ข้อเสนอ สามัคคีกันระหว่าง “แดงและเหลือง”

เพราะหากทำได้ ก็เท่ากับดึงมวลชนออกมาจากฟาก คสช.ได้

ซึ่งเกมดึงมวลชนไปมานี้ ย่อมจะเข้มข้นขึ้นเป็นตามลำดับ

แม้ว่าก่อนหน้านี้นายทักษิณจะโอ่ว่า พรรคเพื่อไทยจะกวาด ส.ส. 260 ที่นั่ง

สร้างปรากฏการณ์ “แลนด์สไลด์” “เขียวทั้งอีสาน” หรือแบบถล่มทลายแบบแอวะแลนช์ (Avalanche-หิมะถล่ม)

แต่นั่นก็ดูจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเป็นเพียงการปลุกขวัญไพร่พล หวังผลในทางจิตวิทยา ให้เกิดความฮึกเหิมต้านกระแส “พลังดูด” มากกว่า

ขณะที่ในกระแสการต่อสู้ “อันแท้จริง” การช่วงชิงเหนือคู่แข่ง ยังเป็นไปอย่างเข้มข้น

และคงมีการปล่อยกลยุทธ์ออกมาเรื่อยๆ

ซึ่งนายทักษิณแม้จะถูกตีกันให้เป็นคนนอก ไม่อาจเข้ามาข้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้

แต่สิ่งที่ปรากฏผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะจากฝั่งฟากของนายทักษิณ

ซึ่งย่อมสร้างความหงุดหงิดใจให้กับอีกฝั่งฟากไม่น้อย

เพราะไม่สนใจก็ไม่ได้

แต่หากไปวอแว หรือตอแยมากๆ ก็เหมือนการกับสู้กับเงา

มองเห็น แต่ชกไม่ถูก