ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต/’ไฮลักซ์ รีโว่’ MY 2018 ปรับทัพรับศึกปิกอัพเดือด

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต [email protected]

‘ไฮลักซ์ รีโว่’ MY 2018

ปรับทัพรับศึกปิกอัพเดือด

ย่างเข้าสู่ปลายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องถึงต้นไตรมาสที่ 4 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลายอดเยี่ยมที่สุดของหลายๆ สินค้า
โดยเฉพาะ “รถยนต์” ที่เรียกว่าเป็นฤดูขายก็ว่าได้
เพราะปกติแล้วช่วงหลายปีจะเป็นช่วงที่ยอดขายรถยนต์พุ่งสูงกว่าปกติ
ยิ่งปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีทองของวงการยานยนต์บ้านเรา เนื่องจากยอดขายไต่เพดานอย่างต่อเนื่อง
ตลาดรถปิกอัพเป็นตลาดใหญ่ที่หลายค่ายรถกระโดดเข้ามาร่วมแชร์ยอดขาย
“โตโยต้า” ถือว่าเป็นบิ๊กเบิ้มของตลาดนี้ แม้ในช่วงหลังๆ จะแผ่วไปหลังจากหมดโมเดล “วีโก้” รถเจเนอเรชั่นแรกภายใต้โครงการ “IMV : Innovative International Multi Purpose Vehicle”
ที่นอกจากปิกอัพวีโก้แล้ว ยังมีคู่แฝดอีก 2 รุ่นคือโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รถพีพีวี หรือปิกอัพดัดแปลง และโตโยต้า อินโนว่า รถเอ็มพีวี หรือรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์
เนื่องจากรุ่น 2 ของ IMV ที่มาในนาม “รีโว่” แม้ยอดขายจะไม่น้อย แต่ถือว่าไม่เปรี้ยงปร้างเท่ารุ่นพี่
พลอยทำให้คู่แข่งตีตื้นขึ้นมา
ยิ่งกับค่ายแดนมะกันที่ยอดขายพุ่งพรวดแม้ยังตามโตโยต้า รีโว่ มาห่างๆ แต่ความนิยมก็แรงขึ้นๆ
ทำให้ก่อนเข้าไตรมาสสุดท้าย โตโยต้า จึงปรับทัพ “รีโว่” ใหม่ ทั้งเพิ่มออปชั่นในบางรุ่น และเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่เป็นทางเลือกในรุ่นท็อปตัวแต่งอย่าง “ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่”

มาเริ่มกันที่รุ่นใหญ่ไฟกะพริบ “ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่” ที่เพิ่มเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เข้ามาเป็นทางเลือกในรุ่นสมาร์ทแค็บและรุ่นดับเบิลแค็บ พรีรันเนอร์
เป็นเครื่องยนต์ GD Efficient Boost 2.4 ลิตร รหัสเครื่องยนต์ 2GD-FTV (High) ความจุกระบอกสูบ 2,393 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า/3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร/1,600-2,000 รอบต่อนาที ทำงานควบคู่กับเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
รูปร่างหน้าตาคงเดิมเพราะสวยดุดันอยู่แล้ว ด้วยมีชุดแต่งพิเศษรอบคันติดตั้งมาจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าสีเทาและสีดำเงา กรอบไฟตัดหมอกสีดำเงาตกแต่งด้วยแถบสีเทา ชุดตกแต่งกันชนหน้าและซุ้มล้อ
กระจกมองข้างสีดำเมทัลลิก มือเปิดประตูสีดำเมทัลลิก มือเปิดฝาท้ายสีดำ สปอร์ตบาร์พร้อมพื้นปูกระบะ บ่งบอกตัวตนด้วยสติ๊กเกอร์ ROCCO ด้านข้างกระบะ และโดดเด่นด้วยกันชนหลังสีเทาเมทัลลิกพร้อมชุดตกแต่ง
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำเงา
ภายในเด่นด้วยมาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ดีไซน์เฉพาะรุ่น พวงมาลัยหุ้มหนัง แผงข้างประตู ช่องปรับอากาศ
ฐานเกียร์และหัวเกียร์หุ้มหนังที่ตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก สอดรับกับแผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยสีดำเมทัลลิกกรอบเสาประตูและแผงบุหลังคาสีดำ และช่องเก็บของด้านบนพร้อมสัญลักษณ์ HILUX
มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ราคา 839,000-999,000 บาท

ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่ปรับเปลี่ยนและแต่งเติมออปชั่นเพิ่มเข้ามา เช่น ไฮลักซ์ รีโว่ ดับเบิ้ลแค็บ รุ่น 2.8G และ 2.8 ROCCO มาพร้อม “T-Connect Telematics” รองรับการใช้งานที่หลากหลาย
Find My Car ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ผ่าน Smartphone และ Apple watch
Stolen Vehicle Tracking ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม พร้อมช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง
SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
หน้าจอแสดงผลที่มากับ Navigator ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจรและฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมายที่เชื่อมต่อรถและคุณให้เป็นหนึ่งเดียว
รุ่นดับเบิลแค็บ 2.8 G และ 2.8 ROCCO พร้อม T-Connect Telematics มี 4 รุ่นย่อย ราคา 1,083,000-1,203,000 บาท
ในรุ่น 2.4 J ที่เป็นรุ่นมาตรฐานยอดนิยม เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมระบบ Sequential Shift เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ เจ้าเดียวในประเทศไทย
ยังมีระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ด้วยอัตราทดเกียร์ต่อเนื่อง พร้อมลดเสียงรบกวน ขับขี่นุ่มนวลทุกเส้นทาง ผสานกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ GD Efficient Boost 2.4 ลิตร แรงเต็มพลัง ประหยัดน้ำมันเต็มสมรรถนะ
ในรุ่น 2.4J แค็บและแชสซีส์ ที่นิยมนำมาใช้งานด้านขนส่งรูปแแบบต่างๆ ยังเพิ่มพูเลย์เสริมหน้าเครื่องรองรับการติดตู้เย็นและตู้แห้ง สนับสนุนกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้า (Logistics) มีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมระบบ Sequential Shift ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มี 4 รุ่นย่อย ราคา 583,000-740,000 บาท
รุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะใหม่ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มี 7 รุ่นย่อย ราคา 528,000-784,000 บาท

ปิดท้ายฉบับนี้ขอย้อนไปถึงอุบัติเหตุรถยนต์ยี่ห้อเกีย รุ่นคาร์นิวัล จอดเสียบนทางด่วนพิเศษฉลองรัชขาเข้า รามอินทรา มุ่งหน้าสุขุมวิท 50 (พระโขนง) ก่อนถึงทางลงประมาณ 200 เมตร แล้วถูกรถโตโยต้ารุ่นฟอร์จูนเนอร์พุ่งชนท้ายกระแทกร่างเจ้าของรถที่ยืนอยู่หน้ารถตกลงจากทางด่วนเสียชีวิต และมีตำรวจอีกนายที่เข้าไปช่วยเหลือดูรถเสียได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
เรื่องของคดีนี้ตำรวจก็ว่ากันไปตามขั้นตอน
แต่ที่จะมาทิ้งท้ายกันคือ พฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยส่วนหนึ่ง ที่ชอบเปิด “เลน” กันเอง
อย่างกรณีที่เกิดขึ้น รถยนต์เกียจอดอยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย ซึ่งช่องทางนี้มีขนาดเล็กนิดเดียว เรียกว่าให้รถจอดได้ 1 คัน สร้างขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการให้รถเสียหรือรถที่เกิดอุบัติเหตุบนทางด่วนจอดชิดขอบทาง เพื่อไม่กีดขวางเส้นทางจราจรหลัก
แต่คนใช้รถจำนวนมากชอบที่จะวิ่งในช่องทางนี้ และวิ่งจนชิน คิดว่าเป็นอีกหนึ่งช่องจราจรไปแล้ว
ในกรณีที่การจราจรสาหัสก็พอเข้าใจได้ ที่ต้องเบี่ยงๆ แบ่งๆ กันไป แต่ก็อย่างว่าวิ่งกันจนชินจึงไม่ได้สำเหนียกว่าช่องซ้ายสุดบนทางด่วนมันไม่ใช่ช่องจราจร
หากเทียบกับถนนทั่วไปมันก็คือ “ไหล่ทาง” นั่นเอง
ด้วยเหตุที่คนขับรถบนทางด่วนเปิดใช้เลนซ้ายสุดกันจนชินนี่เอง ทำให้ไม่ว่าปริมาณรถบนทางด่วนจะมาก-น้อยเพียงใด พวกก็พร้อมจะเข้าไปวิ่งในเลนซ้ายสุดนี้
เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้น หากดูจากคลิปที่กล้องบนทางด่วนจับภาพไว้ได้ การจราจรช่วงเกิดเหตุไม่ได้หนาแน่นถึงขนาดต้องวิ่งเลนซ้ายสุด
แต่เพราะความเคยชิน หรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้รถฟอร์จูนเนอร์แซงซ้ายเข้าไปในเลนนี้แล้วชนท้ายรถที่จอดอยู่ดื้อๆ ทั้งที่เป็นตอนกลางวันแสกๆ
การทางพิเศษฯ หรือตำรวจทางด่วนควรต้องมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง เพราะเลนซ้ายสุดนั้นเขาห้ามวิ่งอยู่แล้ว
อย่างที่บอก หากเป็นกรณีจราจรติดขัดหนาแน่น ก็พออะลุ้มอล่วยกันได้
แต่หากเป็นถนนโล่งๆ แล้วยังมาวิ่งในเลนนี้คงต้องรีบดำเนินการบางอย่างแล้ว
หากไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก