ในคลื่นดำมีมหา “ปีติ” คนไทยร่วมจิตถวาย “ในหลวง” “สรรเสริญพระบารมี” ดังก้องสรวง

ย้อนกลับไป ณ 29 กันยายน พ.ศ.2553

ในงาน “ศิริราชคอนเสิร์ต เทิดไท้องค์อัครศิลปิน”

คนไทยได้ชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉลองพระองค์สูททักซิโด้สีดำ สง่างาม

ทรงแย้มพระสรวล พระพักตร์แจ่มใส

ภาพทรงพระเกษมสำราญ ตราตรึงใจคนไทยไม่รู้ลืม

 

“ศิริราชคอนเสิร์ต เทิดไท้องค์อัครศิลปิน” โดย ไทยแลนด์ ฟิลฮาโมนิก ออเคสตรา ครานั้น

ตามคำบอกเล่าของ นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ขณะนั้นว่า เป็นการจัดเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระเกษมสำราญ

และเพื่อรำลึกถึงวันที่ 29 กันยายน 2516 ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรี ที่หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ซึ่งหลังจากที่ทรงดนตรีครั้งนั้น พระองค์ก็ไม่ได้เสด็จฯ ไปทรงดนตรีที่สถาบันศึกษาไหนอีกเลย

คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช จึงคิดจัดงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงวันที่พระองค์ทรงดนตรี และเมื่อได้เข้ากราบบังคมทูลถวายรายงานให้พระองค์ทรงทราบ

ทรงมีรับสั่งว่า จะเสด็จฯ ทอดพระเนตร

“เมื่อทราบว่าพระองค์รับสั่งว่าจะเสด็จฯ มาทอดพระเนตร ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น จำวันที่พระองค์ทรงดนตรี ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ได้มีโอกาสเข้าร่วมรับชมด้วย วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแซ็กโซโฟน และมีรับสั่งกับนักดนตรีที่เข้าแสดง กลุ่มนักศึกษาแพทย์ต่างอิ่มใจและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน” นพ.ธีรวัฒน์ กล่าว


ไทยแลนด์ ฟิลฮาโมนิก ออเคสตรา เป็นวงที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้เป็นออเคสตราวงอาชีพ

ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลและวิทยาลัยดุริยางคศิลป์

ในแต่ละปีที่ผ่านมาจะมีการแสดงระดับประเทศและระดับนานาชาติหลายครั้ง

ควบคุมวงโดย รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข

ผู้อำนวยการดนตรี นายกุดนี่ เอ.เอมิลสัน

พ.ต.ประทีป สุพรรณโรจน์ เป็นวาทยกรประจำวง

นายกุดนี่ เอ.เอมิลสัน จากประเทศเยอรมนี บอกว่า พิเศษมาก เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้อำนวยเพลงต่อหน้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในการประพันธ์ดนตรี แต่งบทเพลงที่คนรู้จัก ภูมิใจที่พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเราได้มาจัดแสดงวันนี้ และเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวงด้วย

การแสดงครั้งนี้ได้เลือกบทเพลงพระราชนิพนธ์มาจัดแสดง จำนวน 19 เพลง คือ

1.โหมโรงมหาราช 2.อาทิตย์อับแสง 3.ไร้เดือน 4.เมื่อโสมส่อง 5.เกาะในฝัน

6.ใกล้รุ่ง 7.ยามเย็น 8.กินรี 9.แสงเทียน 10.ความฝันอันสูงสุด

11.ดวงใจกับความรัก 12.ในดวงใจนิรันดร์ 13.สายฝน 14.แสงเดือน 15.พระมหามงคล

16.ชะตาชีวิต 17.เราสู้ 18.แผ่นดินของเรา 19.ราชวัลลภ

ใช้เวลาในการแสดงประมาณ 1 ชั่วโมง

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ

นับเป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรคอนเสิร์ต หลังจากประทับโรงพยาบาลศิริราช เพื่อรักษาพระอาการประชวร เมื่อวันที่ 20 กันยายน ปี 2552 เป็นเวลา 1 ปี 9 วัน

ซึ่งก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช ที่ทรงพระเกษมสำราญอย่างยิ่ง ท่ามกลางบุคคลที่ได้ร่วมเข้าเฝ้าฯ และร่วมชมคอนเสิร์ตในครั้งนี้มีประมาณ 300 คน ล้วนเป็นบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ

เวลา 22.05 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ กลับจากทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ต ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยมีพสกนิกรเฝ้ารอรับเสด็จเป็นจำนวนมาก และต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล และทรงยกกล้องดิจิตอลขึ้นมาถ่ายรูปไว้ ก่อนโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรอย่างสดชื่นแจ่มใส

 

แม้ภาพอันน่าประทับใจเช่นนั้น จะไม่มีอีกแล้ว

หลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559

แต่กระนั้น วันที่ 22 ตุลาคม 2559 อันเป็นวันที่เก้าของพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ในหลวง

ได้เกิดภาพประทับใจแก่คนไทยและคนทั่วโลกอีกครั้ง

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาต ให้ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล จัดทำภาพยนตร์เพลงสรรเสริญพระบารมี เพื่อแสดงความไว้อาลัย

โดยไฮไลต์ของภาพยนตร์นี้คือ การบรรเลงและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ของวงดนตรี สยาม ฟิลฮาร์โมนิก ออเคสตรา โดยคอรัส 100 คน มี อาจารย์สมเถา สุจริตกุล เป็นวาทยกร

ในการนี้ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ได้ประกาศเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยสวมชุดดำมาร่วมบันทึกเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่ประชาชนขับร้องสด ณ บริเวณถนนหน้าพระลาน กำแพงพระบรมมหาราชวัง และท้องสนามหลวง

โดยการขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จะมี 2 รอบ รอบแรกเวลา 13.00-17.00 น. โดยจะมีการบรรเลงดนตรีออเคสตรา ส่วนรอบสองเวลา 22.00 น. ไม่มีวงออเคสตราบรรเลง แต่ขอให้ประชาชนนำเทียนไขสีขาวมาร่วมประกอบการร้องเพลงด้วย


ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลานัดหมาย มีคลื่นพสกนิกรกว่า 3 แสนคน สวมชุดดำมาร่วมขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

จน “มืด” เต็มท้องสนามหลวง และด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง

แต่ก็มากด้วยความ “ปีติ”

โดยต่างร่วมใจเปล่งเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงในพระบรมโกศ และร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ

เช่นเดียวกับรอบ 22.00 น. ประชาชนได้จุดเทียนสีขาว และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ดังกึกก้องทั่วบริเวณท้องสนามหลวงอีกครั้ง

กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ประทานสัมภาษณ์ว่า ตอนแรกวางไว้ว่าจะมีเครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น คนสัก 1,000 คน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเครื่องดนตรีถึง 400 ชิ้น และคนร้องเพลงอีก 200 คน และก็ไม่คิดด้วยว่าจะมีประชาชนมารวมตัวกันมากขนาดนี้

“ประชาชนมากันด้วยใจจริงๆ ไม่มีการเกณฑ์คนมาหรือบังคับ ทุกคนยืนตากแดดกันตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่าย โดยเพลงนี้จะเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่ทุกคนร้องพร้อมกัน และอาจจะเป็นการทำลายสถิติโลก ที่มีคนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี มากเป็นประวัติศาสตร์ ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีค่าย ดารามาช่วยกันคนละไม้คนละมือโดยที่เราไม่ได้ไปบังคับ ทุกๆ คนมากันด้วยใจจริงๆ ไม่มีใครคิดเงิน รวมทั้งผู้สร้างหนังเกือบ 1,000 คน ที่เดินทางมาช่วยกัน ใช้กล้อง 50-60 ตัว ไมโครโฟนอีก 25 ตัว เก็บทุกภาพเอาไว้ ซึ่งเราจะถ่ายทำกันไปเรื่อยๆ จนช่วงเย็นจะมีการจุดเทียนให้เป็นดวงตาล้านดวง ให้เห็นว่าทั้งหมดนี้คือประชาชน”

“ต้องขอบคุณทุกๆ คนที่ร่วมใจกันมา ร่วมใจร่วมแรงกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หวังว่าพอออกไปฉายในโรงภาพยนตร์ในสัปดาห์หน้า ทุกคนคงจะยืนถวายความเคารพ เพราะครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ทำงานถวายในหลวง สำหรับค่าใช้จ่ายไม่ได้เสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว ทุกคนร่วมใจกันมาเอง ผมเองก็ไม่ได้ขอความสนับสนุนจากภาครัฐเลย ไม่เคยขอสปอนเซอร์จากใคร ตรงนี้คืองานของประชาชนทุกคน ดาราศิลปินจากแต่ละค่าย สื่อจากทุกสำนักพร้อมใจกันมาโดยไม่แบ่งช่องแบ่งค่าย” ม.จ.ชาตรี ระบุ


ภาพ มหาคลื่นสีดำ

และเสียงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยพร้อมเพรียงของคนกว่า 3 แสน ที่จะกลายเป็นภาพยนตร์ในเร็ววันนี้

ยากจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ณ ที่ใดในโลกนั้น

พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ เชื่อว่า “ในหลวง” ที่สถิต ณ สวรรคาลัย

จะทอดพระเนตรและได้ยินเสียงอันน่าประทับใจนี้

และคงนำไปสู่ ภาพพระพักตร์ที่ทรงแย้มพระสรวล สดชื่นแจ่มใส

ดังที่คนไทยได้เคยเห็นพระองค์ฉลองพระองค์ชุดทักซิโด้ เสด็จฯ ไปทอดพระเนตร “ศิริราชคอนเสิร์ตฯ” อย่างทรงพระเกษมสำราญ ในปี 2553 นั้น