ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม - 6 กันยายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | วิกฤติศตวรรษที่ 21 |
เผยแพร่ |
วิกฤติประชาธิปไตย (19)
รัฐบาลใหม่ตุรกีในความไม่แน่นอนสูง
รัฐบาลใหม่ตุรกีในระบบประธานาธิบดีถือกำเนิดได้ไม่นานก็ต้องเผชิญกับพายุใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
ค่าเงินลีราตุรกีลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นก็ทรุดหนักไปด้วย
ภาวะทรุดตัวทางการเงินนี้ นักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าเป็นเหมือน “พายุสมบูรณ์แบบ” ที่กระหน่ำตุรกี
บ้างไปไกลถึงขั้นว่าจะติดเชื้อลามไปถึงการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือส่งผลกระทบรุนแรงต่อธนาคารใหญ่ในยุโรป ได้แก่ สเปน ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นต้น ที่ปล่อยเงินกู้จำนวนมากให้แก่บริษัทในตุรกี
แต่ความจริงตุรกีเกิดการทรุดตัวทางการเงินมาหลายครั้ง
ช่วงทศวรรษ 1990 ก็ครั้งหนึ่ง ร่วมกับวิกฤติการเงินเอเชียตั้งแต่วิกฤติการเงินใหญ่ของสหรัฐปี 2008 เศรษฐกิจตุรกีก็เผชิญกับความเสี่ยงสูงขึ้น แม้จะรักษาการเติบโตระดับสูงไว้ได้แต่สุขภาพก็ไม่แข็งแรง ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนี้กันทั้งโลก เพียงแต่ตุรกีมีลักษณะเฉพาะของตนตามที่ตั้งประวัติศาสตร์ อำนาจแห่งชาติ และการนำ
โดยรวมกล่าวได้ว่ารัฐบาลใหม่ของตุรกีตกอยู่ในความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่สูงขึ้น ต้องทำงานหนักและดีกว่าเดิมจึงเอาตัวรอดไปได้
ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่สูงขึ้น เกิดจากเหตุปัจจัยสองกลุ่มด้วยกัน
เหตุปัจจัยแรก ได้แก่ ภาวะแยกวง ในกระบวนโลกาภิวัตน์ได้ก้าวถึงขีดอันตรายสูง จัดเป็นเหตุปัจจัยคงที่มีการเปลี่ยนแปลงช้ากว่า
อีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเหตุปัจจัยผันแปร มีการเปลี่ยนแปลงเร็วต้องติดตามดูเป็นรายวัน ได้แก่ ความสัมพันธ์ภายในชนชั้นนำและประชาชนตุรกี และความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างตุรกีกับสหรัฐและตะวันตก เกิดการด่าทอ (เรียกกันว่าการแสดงโวหาร)
การปฏิบัติการหลายมิติและวิธีการสร้างมิตรและศัตรูและอื่นๆ จะได้กล่าวถึงสองเหตุปัจจัยนี้ รวมถึงว่ารัฐบาลใหม่ตุรกีจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้หรือไม่
การแยกวงในกระบวนโลกาภิวัตน์ถึงขีดอันตราย
การ “แยกวง” ในกระบวนโลกาภิวัตน์ แสดงว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจ รวมถึงลัทธิประชาธิปไตยเสรี และทรัพยากรธรรมชาติในโลก ไม่สามารถรองรับและรักษากระบวนโลกาภิวัตน์แบบเดิมได้
ทำนองเดียวกับจักรวรรดิโบราณที่ขยายตัวใหญ่ขึ้นก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ต้องแตกเป็นอาณาจักรน้อยใหญ่หรือย้อนไปในสังคมบรรพกาล เมื่อมนุษย์ยังชีพด้วยการเก็บของป่า-ล่าสัตว์ เมื่อมีจำนวนผู้คนในกลุ่มมากขึ้นเกิน 150 คน เป็นต้น ก็จำต้องแตกตัวออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันอพยพกันไป
กระบวนโลกาภิวัตน์นั้นเติบโตเต็มที่ในช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยเงื่อนไขดีจากการล่มสลายของจักรวรรดิสหภาพโซเวียต และจีนหันไปเดินหนทางทุนนิยมเต็มตัว กระบวนโลกาภิวัตน์มีวงหลักวงเดียวมีสหรัฐเป็นผู้นำ ทำให้ทั้งโลกมีเศรษฐกิจฐานดอลลาร์
ถึงจะมีวงเล็กอื่นได้แก่ วงตลาดร่วมยุโรป วงตลาดใช้เงินเยนของญี่ปุ่น แต่ก็แสดงบทบาทเป็นเพียงวงบริวารในการเสริมสร้างกระบวนโลกาภิวัตน์ให้แผ่ไปทั่วโลก
แต่เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 21 มีบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาประท้วงระเบียบโลกที่สหรัฐเป็นผู้สร้างและจัดการ ที่เป็นข่าวดังได้แก่ กลุ่มก่อการร้ายที่ก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเดือนกันยายน 2001
แต่ที่ลึกซึ้งและมีผลกระเทือนจริงจังกว่ามาก คือการเคลื่อนไหวของสองมหาอำนาจใหญ่ คือรัสเซียและจีน ผู้นำรัสเซียเห็นว่าสหรัฐเอาเปรียบโลกจากการที่เงินดอลลาร์ใช้เป็นเงินสำรองและการค้าระหว่างประเทศ สามารถพิมพ์ธนบัตรได้ตามใจชอบ และเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจ-การเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ฝ่ายนำจีนก็มีความเห็นว่าสหรัฐได้ใช้การชักใยเงินดอลลาร์ให้บางช่วงมีมูลค่าต่ำ บางช่วงมีมูลค่าสูง เพื่อกำหนดความเป็นไปทางเศรษฐกิจโลกได้ตามที่ต้องการ
เมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ปี 2008 จีนที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้อง “หย่า” จากเงินดอลลาร์ ไม่ให้ความผันผวนทางเศรษฐกิจและเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจของตน
จีนได้ดำเนินการหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ การพัฒนาสถาบันการเงินที่เป็นสากลของตนขึ้น สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ขยายการค้าการลงทุนกับต่างประเทศขนานใหญ่ ทั้งหมดเพื่อยกฐานะเงินหยวนของตนขึ้นเป็นเงินตราที่ใช้และเป็นที่ยอมรับกว้างขวางในโครงสร้างการเงินโลก
สำหรับรัสเซียได้แสดงบทบาทสำคัญทางการเมือง-การทหาร ในการโจมตีลัทธิโลกขั้วอำนาจเดียวและดอลลาร์เป็นใหญ่อย่างต่อเนื่อง และเข้าเผชิญหน้าทางทหารกับสหรัฐ-นาโต้หลายพื้นที่หลายครั้ง
ทั้งแสดงว่าพร้อมที่จะไปดับไฟสงครามที่สหรัฐไปก่อไว้ในที่ต่างๆ ทั่วโลกถ้าทำได้และจำเป็น
การเคลื่อนไหวเพื่อหย่าหรือแยกวงดังกล่าวที่ได้ดำเนินมาราวสิบปี ได้ก่อความหวั่นเกรงและความไม่พอใจอย่างรุนแรงแก่สหรัฐ
จนกระทั่งในเดือนมกราคม ปี 2018 ทางการสหรัฐก็ได้ลั่นกลองศึก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศว่า รัสเซียและจีนเป็น “อำนาจนักแยกวง” (Revisionist Power แปลตามตัวว่า “อำนาจนักแก้” คือต้องการแก้ระเบียบโลกที่สหรัฐครองความเป็นใหญ่) เป็นสัญญาณว่าจะเปิดศึกใหญ่กับรัสเซีย-จีน
และประเทศอื่นที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับจีน-รัสเซีย ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอำนาจนักแยกวงไปด้วย ได้แก่ อิหร่าน เวเนซุเอลา เกาหลีเหนือ เป็นต้น
ส่วนตุรกีเพิ่งมาต่อแถวไม่นานมานี้ หลังการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2016
กลองศึกที่ฝ่ายบริหารสหรัฐบรรเลงอยู่ในขณะนี้ เป็นสงครามเศรษฐกิจ ต่างกับกลองศึกที่บรรเลงในสมัยประธานาธิบดีบุชผู้ลูก ที่ต้องการทำสงครามใช้กำลัง สงครามที่ยาวนานกับผู้ก่อการร้าย แต่การวางอำนาจนั้นไม่ต่างกัน เพราะต่างยึดถือลัทธิครองความเป็นใหญ่และการโจมตีก่อน
ประธานาธิบดีบุชผู้ลูกประกาศในรัฐสภาวันที่ 20 กันยายน 2001 ว่า “ทุกประเทศ ทุกภูมิภาค บัดนี้ต้องตัดสินใจว่าจะเข้าข้างเรา หรือเข้าข้างพวกก่อการร้าย”
ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ค้าขายกับอิหร่าน ก็ไม่ต้องค้าขายกับเรา” (07.08.2018)
การวางอำนาจดังกล่าวมีด้านที่แสดงว่า การโหมกลองศึกของสหรัฐไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพันธมิตร โดยเฉพาะในกรณีการก่อสงครามอิรัก ที่มีเสียงคัดค้านมาก และประชาชนเดินขบวนต่อต้านตามเมืองต่างๆ ทั่วโลกเป็นสิบล้านคน
ยังเป็นที่สังเกตว่า การก่อสงครามในสมัยบุชต่อมาจนถึงสมัยโอบามาล้วนไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย และลิเบีย สงครามยังคาราคาซัง จะรุกก็ไม่ได้ จะถอนกำลังก็กลัวแพ้สิ้นเชิง ต้องติดอยู่ในสงครามที่โง่เขลาไม่อาจเอาชนะได้
ทรัมป์ซึ่งเป็นตัวแทนชนชั้นนำอีกปีกหนึ่งเห็นว่า ควรเปิดแนวรบทางเศรษฐกิจ เพราะว่าเดิมกระทำอย่างไม่จริงจัง ใช้การแซงก์ชั่นที่ไม่เด็ดขาด หรือไม่ได้ใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างครอบคลุม คิดว่าถ้าทำสงครามเศรษฐกิจก็อาจชนะได้ เพราะว่าสหรัฐยังคงมีเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลก และควบคุมการไหลและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังเป็นฐานเศรษฐกิจโลกในขณะนี้อยู่
แต่เมื่อทำไปก็เกิดความร้อนระอุไปทั่วโลกไม่แพ้การทำสงครามด้วยการใช้กำลัง
เมื่อสหรัฐประกาศว่าจะเพิ่มการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียในกรณีเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษอดีตสายลับรัสเซีย-อังกฤษที่กรุงลอนดอน และรัฐสภาสหรัฐก็เคลื่อนไหวเตรียมออกกฎหมายเพื่อการแซงก์ชั่นรัสเซีย ถึงขั้นจะปิดกิจการธนาคารรัสเซียในอเมริกา
รัสเซียเห็นว่าการแซงก์ชั่นเหล่านี้ล้วนไม่ชอบธรรมและผิดกฎหมาย และเมื่อสหรัฐเป็นฝ่ายรุกมาจนถึงขั้นนี้ รัสเซียก็ได้ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
โดยนายกรัฐมนตรีเมดเวเดฟแห่งรัสเซีย ได้ออกมาประกาศว่า “ผมจะไม่แสดงความเห็นใดเกี่ยวกับการแซงก์ชั่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ผมสามารถกล่าวได้อย่างหนึ่งว่า ถ้ามีการห้ามการทำงานของธนาคารรัสเซีย หรือห้ามธนาคารเหล่านี้ไม่ให้ใช้เงินตราสกุลหนึ่งสกุลใด ก็จะเป็นที่ชัดเจนว่าสามารถเรียกการปฏิบัตินี้ว่าเป็นการประกาศสงครามทางเศรษฐกิจ”
ที่หนักกว่านี้ เมดเวเดฟประกาศว่า “ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องตอบโต้ต่อสงครามนี้ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือถ้าจำเป็นก็ต้องใช้วิธีการอื่น และเพื่อนชาวอเมริกันของเราจำต้องเข้าใจสิ่งนี้” (ดูรายงานข่าวของ Sam Meredith ชื่อ Russia likens US sanctions to economic war – and threatens to response “by other means” ใน cnbc.com 10.08.2018)
เมดเวเดฟผู้นี้ได้ชื่อว่าอยู่ในปีกนิยมตะวันตก ต้องการผูกมิตรกับสหรัฐและสหภาพยุโรป การที่เขาออกมาประกาศกร้าวเช่นนี้สะท้อนว่าภายในชนชั้นนำรัสเซียเกิดความเป็นเอกภาพมากขึ้น ในการไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่สหรัฐอีกต่อไป และถ้าคำประกาศนี้ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นสิ่งที่รัสเซียจะทำและสามารถทำได้จริง
ก็แสดงว่าการแยกวงในกระบวนโลกาภิวัตน์มีความล่อแหลมที่จะเกิดปะทะกันระหว่างมหาอำนาจในทุกมิติได้
การแยกทางเดินระหว่างตุรกีกับสหรัฐ
ตุรกีเริ่มแยกทางเดินกับสหรัฐตั้งแต่เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 เมื่อพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา (เอเคพี) ของแอร์โดอานได้ขึ้นสู่อำนาจ
ซึ่งเกิดประจวบกับเหตุการณ์ใหญ่อื่นในช่วงนั้น ได้แก่ การขึ้นสู่อำนาจของวลาดิมีร์ ปูติน ในรัสเซีย การก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด ที่เสริมกระแสการฟื้นฟูศาสนาอิสลาม และการต่อต้านนโยบายครองความเป็นใหญ่ของสหรัฐ-นาโต้ การจัดตั้งองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งก่อรูปแกนพันธมิตรจีน-รัสเซีย และการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของจีน ที่ช่วยให้จีนเข้ามามีบทบาทในการค้าการลงทุนโลกเหมือนติดปีกบิน
บนเวทีโลกที่เปลี่ยนไปนี้ สร้างเงื่อนไขและบีบให้ตุรกีจำต้องเดินนโยบายเป็นอิสระจากสหรัฐ-นาโต้ได้มากขึ้น
เหตุการณ์ที่แสดงถึงการแยกทางเดินอย่างยากจะหวนกลับ เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารที่ล้มเหลวกลางเดือนกรกฎาคม 2016 ในตุรกี
ทางการตุรกีเชื่อมั่นว่าผู้เป็นแกนอยู่เบื้องหลังการก่อการรัฐประหาร ได้แก่ เฟตฮุลลาห์ กูเลน นักเทศน์ชาวตุรกีที่ลี้ภัยไปอยู่ที่สหรัฐ
และได้มีการกวาดล้างคนในกลุ่มนี้อย่างขนานใหญ่ในข้อหามีส่วนร่วมรู้เห็นในปฏิบัติการนี้
ที่พลอยถูกจับกุมไปตั้งแต่แรกได้แก่ แอนดรูว์ บรันสัน พระคริสเตียนชาวสหรัฐ ที่ได้พำนักอยู่ในตุรกีเป็นเวลากว่า 20 ปี
มีข่าวว่าฝ่ายตุรกีเจรจาแลกเปลี่ยนตัวบรัสสันกับกูเลนแต่ไม่เป็นผล เรื่องยืดเยื้อจนกระทั่งมาแตกหักในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ยื่นคำขาดให้ปล่อยตัวบรันสัน ไม่เช่นนั้นก็จะต้อง “เจอดี”
จากนั้นสหรัฐก็ได้ประกาศแซงก์ชั่นรัฐมนตรีตุรกีสองนายที่มีส่วนในการคุมขังบรันสัน ต่อมายังได้เพิ่มพิกัดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกีอีก
การที่ทรัมป์ปฏิบัติเช่นนี้ ด้านหนึ่งเกี่ยวกับการหาเสียงในหมู่ชาวคริสเตียนที่เป็นฐานเสียงสำคัญของตนในการเลือกตั้งกลางเทอมเดือนพฤศจิกายน 2018 อีกด้านหนึ่งเพื่อการสั่งสอนตุรกีที่แตกแถวไป ดังนั้น ไม่ว่าตุรกีจะปล่อยหรือไม่ปล่อยตัวบรันสัน สหรัฐก็จะกดดันตุรกีต่อไปจนกว่าจะยอมกลับมาอยู่ในแถว
การแตกแถวของตุรกีนี้ ที่สำคัญได้แก่
ก) การหันไปจูบปากรัสเซีย ไปจนถึงการสั่งซื้อระบบต่อต้านขีปนาวุธ เอส.400 จากรัสเซีย ทำให้ระบบป้องกันทางอากาศของนาโต้โหว่แหว่งไป และห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง
ข) การที่ตุรกีตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่ออิสราเอลและคัดค้านนโยบายของสหรัฐที่ย้ายสถานทูตไปกรุงเยรูซาเลมอย่างรุนแรง ก่อกระแสความไม่พอใจของชาวอาหรับให้ปะทุขึ้นด้วย เป็นการทำลายแผนการสร้างแกนอิสราเอล-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อสร้างสันติภาพอิสราเอล-ปาเลสไตน์ นอกจากนี้ ยังสร้างความยากลำบากเป็นอันมากต่อนโยบายสร้าง “นาโต้ของชาวอาหรับ” เพื่อต่อต้านอิหร่าน
ค) ตุรกีประกาศว่าจะไม่ยอมบอยคอตการสั่งซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอิหร่านอย่างที่สหรัฐต้องการ ทำลายแผนการแซงก์ชั่นเศรษฐกิจอิหร่านให้ล้มทั้งยืน
ง) ในยุโรปเองก็ไม่พอใจตุรกีที่เข้าไปจัดตั้งกลุ่มชาวเติร์กในประเทศยุโรป ทำให้แผนกลมกลืนชาวมุสลิมให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกยากขึ้น ปัญหาผู้อพยพยิ่งรุนแรง
การแตกแถวและการตอบโต้จากสหรัฐมีผลกระทบรุนแรงมากต่อตุรกี เฉพาะในครึ่งแรกเดือนสิงหาคม 2018 ค่าเงินลีราตุรกีได้ลดต่ำลงถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ฉบับต่อไปจะกล่าวถึงเรื่องรัฐบาลในระบบใหม่ของตุรกีจะฝ่าวิกฤติได้หรือไม่