อาชญากรรม : พลิกคดีฉาว-เกาะเต่า แหม่มผู้ดีอ้างถูกขืนใจ ส่ง “บิ๊กโจ๊ก” ลุยเคลียร์ เดินย้อนรอย-แฉ 5 พิรุธ

คลายคดีแหม่มเกาะเต่า – ใกล้ถึงบทสรุปแล้ว สำหรับคดีอื้อฉาวโลกที่เกาะเต่า ประเทศไทยตกเป็นจำเลย

หลังจากที่สื่อนอกเสนอข่าว แหม่มสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี ที่เดินทางมาเที่ยวเกาะเต่า

แต่แทนที่จะได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีกลับไป กลับถูกทรชนมอมยา รูดทรัพย์ ซ้ำยังข่มขืน เหตุเกิดบนชายหาดชื่อดัง

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกลับไม่รับแจ้งความ

เช็กวงจรปิดก็ถูกลบ หรือไม่ก็อ้างว่า เสียหาย

ทำให้ประเทศเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง

ร้อนจนถึงผบ.ตร.ต้องสั่งการให้ พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ท่องเที่ยว ลงพื้นที่คลี่คลายคดีโดยด่วน

และจากการทำงานอย่างละเอียดรอบ คอบก็ได้ข้อมูลที่พอจะสรุปได้ สามารถนำไปอธิบายกับกงสุลอังกฤษ

ว่าเรื่องข่มขืนที่ว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้

โจ๊กแจงกงสุลผู้ดี-ไม่มีข่มขืน

หลังจากสื่อต่างประเทศเสนอข่าวแหม่มสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี ถูกมอมยาข่มขืนที่เกาะเต่า เป็นข่าวฉาวไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 27 ส.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ก็มอบหมายให้พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ท่องเที่ยวลงพื้นที่เร่งคลี่คลายคดี เพราะกระทบต่อชื่อเสียงประเทศโดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว

เพียง 3 วันหลังลงพื้นที่สอบพยานและรวบรวมข้อมูลก็ได้ผลสรุปชัด โดยวันที่ 30 ส.ค. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์หอบหลักฐานเดินทางเข้าพบนายพอล เคย์ กงสุลใหญ่ประจำสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยเพื่อชี้แจงถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

โดยระบุว่า การตรวจสอบตามคำสั่งของผบ.ตร.ถือว่าจบสมบูรณ์แบบ ยืนยันได้ว่าจากร่องรอยวัตถุพยาน การสอบปากคำพยาน และการจำลองเหตุการณ์เสมือนจริงตามสภาพแวดล้อม รวมทั้งตรวจสอบในที่เกิดเหตุเพื่อหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

ตามรายละเอียดที่ทางผู้เสียหายระบุว่ารู้สึกเหมือนถูกมอมยาอยู่ที่ร้านลีโอ บาร์ ถูกอุ้มมาข่มขืนที่บริเวณลานหินจปร. โดยจุด ดังกล่าวมีระยะห่าง 300 เมตร เราจำลองเหตุการณ์เสมือนจริง มีการตรวจสอบน้ำขึ้นน้ำลง ปรากฏว่าคืนวันเกิดเหตุเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ซึ่งทางผู้เสียหายอ้างว่าได้นั่งดื่มกินอยู่ริมหาด แต่จากการสอบปากคำพยาน ตรวจสอบระดับน้ำขึ้นลงพบว่าห้วงเวลาดังกล่าวระดับน้ำสูงขึ้นมาจนถึงฝั่ง ไม่มีใครสามารถนั่งดื่มที่บริเวณนั้นได้

หากเป็นไปตามที่ผู้เสียหายอ้างว่ามีการอุ้มไปที่โขดหินจปร.จริง ก็ต้องเป็นการอุ้มไปในน้ำ ซึ่งถ้าเดินในน้ำถือว่าผิดปกติเป็นอย่างมากถ้าเทียบกับสถานการณ์ขณะนั้น

เนื่องจากในวันดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณดังกล่าวจำนวนมาก การเดินไปยังจุดเกิดเหตุจะต้องเดินลุยน้ำทะเลไปยังโขดหินซึ่งจะเป็นจุดสนใจ และมีการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยบริเวณริมชายหาดจึงไม่สามารถที่จะเป็นไปตาม คำกล่าวอ้างนั้นได้

ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ไม่มีการวางยาและการข่มขืนเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังสอดรับกับทางกงสุลใหญ่ที่ระบุว่าหลังเกิดเหตุไม่ได้มีการรับแจ้งเหตุจากผู้เสียหายแต่อย่างใด มีเพียงแค่ผู้เสียหายเดินทางกลับไปให้ข้อมูลกับทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ จากนี้ทางสถานทูตอังกฤษจะประสานขอคำให้การของผู้เสียหายที่เดินทางไปให้ปากคำกับทางตำรวจอังกฤษ รวมทั้งขอร่องรอยวัตถุพยาน เช่น เสื้อผ้าที่มีคราบอสุจิติดอยู่ที่ทางผู้เสียหายให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ ส่งกลับมาให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานดำเนินการตรวจสอบต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดภายใน 1 เดือน ก่อนที่จะแจ้งทางสถานทูตอีกครั้ง

นอกจากนี้ จะออกหมายจับเจ้าของเพจ 2 เพจ คือ เพจสมุยไทม์ และเพจ CSI LA ที่โพสต์ข้อความ เหตุการณ์ดังกล่าวจนสร้างความเสื่อมเสียทางด้านการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้สามารถพิสูจน์ตัวตนของเจ้าของเพจได้แล้ว คาดว่าน่าจะออกหมายจับได้ในข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมทั้งคนแชร์ข้อมูลก็มีความผิดด้วย ก็จะออกหมายเรียกเข้ามาให้ข้อมูล

สรุปเป็นคดีที่ยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าเกิดเหตุขึ้นจริง

ย้อนรอยสื่อนอกตีข่าวฉาว

สำหรับกรณีดังกล่าวเริ่มต้นจากสื่อต่างประเทศอย่างเดลิเมล์ และสื่อออสเตรเลีย เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษที่เดินทางมาเที่ยวเกาะเต่า ประเทศไทย เกือบเอาชีวิตไม่รอด โดยอ้างว่าตกเป็นเหยื่อถูกมอมยา ลักทรัพย์ และข่มขืนกระทำชำเรา โดยเหตุเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 25 มิ.ย.2561 ที่ผ่านมา

โดยระบุว่าก่อนเกิดเหตุไปสังสรรค์ที่บาร์แห่งหนึ่งในเกาะเต่า จากนั้นก็หมดสติไป ตื่นมาอีกทีพบว่าตัวเองท่อนล่างเปลือยเปล่า มีชายแปลกหน้าชาวเอเชียคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มให้ก่อนหลบหนีไป

เมื่อตรวจสอบพบว่ามือถือไอโฟน 7 พลัส และเงินสด 3 พันบาทหายไป หลังเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สภ.เกาะพะงัน แต่ตำรวจรับแจ้งความกรณีเงินสด บัตรเดบิต 4 ใบ และโทรศัพท์มือถือหายเท่านั้น ไม่รับแจ้งความคดีมอมยา และล่วงละเมิดทางเพศ

จากนั้นแหม่มสาวจึงเดินทางกลับประเทศ และพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอังกฤษ ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ ยังได้แจ้งความและมอบเสื้อยืดในวันที่เกิดเหตุให้แก่ตำรวจสถานีลูวิแชมไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ หลังจากที่กลับประเทศได้ติดต่อกลับมายังเจ้าของโฮสเทลที่แหม่มสาวพักเมื่อต้นเดือนส.ค.แจ้งว่าถูกข่มขืน จึงประสานกับตำรวจสภ.เกาะเต่าตรวจสอบ แต่ไม่สามารถเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดได้ เพราะเวลาผ่านไปนาน โดยวงจรปิดจะลบภาพเดิมทุก 7 วัน

เมื่อกลายเป็นข่าวดัง ส่งผลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งตั้งกรรมการสอบสวนทันที ทั้งประเด็นว่าแหม่มสาวถูกมอมยาข่มขืนจริงหรือไม่ และไม่ได้รับแจ้งความตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่

โดย พ.ต.ท.สมศักดิ์ หนูรอด รองผกก.สอบสวน สภ.เกาะพะงัน เผยว่า นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษมาแจ้งความเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กรณีของหาย คือเงินสด 3 พันบาท บัตรเดบิต 4 ใบ และมือถือไอโฟน 7 พลัส 1 เครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเหตุเกิดในพื้นที่สภ.เกาะเต่า แต่ผู้เสียหายระบุว่า ต้องการแจ้งความเป็นหลักฐานเพื่อไปเคลมกับบริษัทประกัน จึงรับแจ้งความและลงบันทึกประจำวันให้

ด้านพ.ต.ท.นพา เสนาทิพย์ รองผกก.(สอบสวน) สภ.เกาะเต่า เผยว่า ไม่เคยมีการแจ้งความข่มขืนกระทำชำเราในพื้นที่ และเป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจจะไม่รับแจ้งความ เพราะตามระเบียบหากมีคดีก็ต้องดำเนินการ ต้องตรวจร่างกายผู้เสียหาย ตรวจสถานที่เกิดเหตุ

เมื่อเกิดความเห็นแตกต่าง การพิสูจน์ข้อเท็จจริงก็เกิดขึ้น

ลุยสืบพยาน-สงสัยเพื่อนชาย

ขณะที่การสอบสวน น.ส.ภัทรา แจ่มตระกูล อายุ 32 ปี เจ้าของที่พักเดอะไฮ โฮสเทล ที่แหม่มสาวเข้าพัก ระบุว่าแหม่มสาวเข้าพักที่โรงแรมเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. และเช็กเอาต์ออกไปในวันที่ 27 มิ.ย. โดยอยู่ร่วมกับเพื่อนชายชาวต่างชาติอีก 4 คน เวลาไปเที่ยวไหนก็จะไปด้วยกันตลอด

คืนวันที่ 25 มิ.ย.ที่เป็นคืนเกิดเหตุ ตนนัดกับแหม่มสาวและเพื่อนชาวต่างชาติไปดูท้องฟ้า แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวออกไปกันก่อน โดยไปดื่มกินกันที่ร้านฟิชโบวล์ บีช บาร์ แต่พอไปถึงก็ไม่เจอ ได้ข่าวว่าไปต่อกันที่ลีโอบาร์

แหม่มสาวคนนี้ชอบปาร์ตี้ ดื่มเหล้า และกลับเข้าที่พักช่วงตี 2-ตี 3 เกือบทุกวัน ก็เป็นห่วงว่าเป็นอะไรหรือไม่

ช่วงเช้าวันที่ 26 ส.ค. แหม่มสาวมาบอกว่าถูกวางยาในเครื่องดื่ม และถูกข่มขืนบริเวณแหลมหิน จปร. และเอาทรัพย์สินไป จึงได้แนะนำให้ไปแจ้งความ

แต่แหม่มสาวอ้างว่าจะรีบไปเกาะพะงันไปพบแฟนหนุ่มกับเพื่อนชาวอังกฤษที่มางานฟูลมูนปาร์ตี้ ตนพยายามคะยั้นคะยอให้ไปแจ้งความก่อนแต่ก็ไม่ไป และไม่ได้ติดตามเรื่องต่อ เพราะไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุจริงหรือไม่ เนื่องจากเขามักจะออกไปดื่มเที่ยวกินกลับช่วงเวลาดังกล่าว

กระทั่งวันที่ 4 ก.ค. เพื่อนชายคนสนิทชื่อนายมาร์ติน มาปรึกษากับตนว่ายังสามารถแจ้งความแทนได้หรือไม่ จึงพานายมาร์ตินไปที่สภ.เกาะเต่า ซึ่งตำรวจไม่สามารถรับแจ้งได้ เนื่องจากผู้เสียหายไม่ได้มาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาไปดูกล้องวงจรปิดบริเวณที่อ้างว่าเป็นจุดเกิดเหตุ พบว่ากล้องเก็บข้อมูลได้เพียง 7 วัน

นอกจากนี้ ทราบว่าในคืนวันที่ 26 มิ.ย. นายมาร์ตินได้ชกต่อยกับแฟนของแหม่มสาวผู้เสียหายที่เกาะพะงัน จนทำให้ฟันหน้าบิ่นแตกหัก

จากการสอบสวนทราบว่าแหม่มสาวมานั่งร้องไห้หน้าโรงแรม บอกว่าพลาดพลั้งมีสัมพันธ์กับเพื่อนชายที่ชื่อมาร์ติน เนื่องจากดื่มสุราจนครองสติไม่อยู่ และไม่รู้จะบอกกับแฟนหนุ่มที่นัดเจอกันที่เกาะพะงันอย่างไร

สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป ว่าคดีข่มขืนยังไม่มีพยานหลักฐานบ่งบอกว่าเกิดขึ้นจริง!??