ทวีปที่สาบสูญ “ใต้ร่มไม้นั้น”

เวลากินอ้อยควั่น มันจะหวานจนจับจิตจับใจเมื่อแรกได้ลิ้ม ยังจำได้ดีอยู่เลย หนแรกที่พ่อปอกหั่นมาให้

เนื้ออ้อยขาวๆ ละม้ายของแข็ง มีเสี้ยนสากใย แต่พอเอาเข้าปาก ขบเขี้ยวลง น้ำหวานเหล่านั้นกลับจะกระเซ็นออกมาจนเต็มกระพุ้งแก้ม ถ้าช้าสักหน่อย น้ำลายจะไหลเอ่อออกมาผสมปนเปอีก ราวถูกกระตุ้นอยู่ในโพรงปาก ให้ต้องรีบเคี้ยวรีบกลืน

อ้อยยังจะอร่อย เมื่อเคี้ยวจนละเอียด บดด้วยฟันหน่วงหนัก จนกว่าจะรีดน้ำหวานไหลลงคอรอบแล้วรอบเล่า จนเหือด…ค่อยถ่มกากทิ้งไป

ความรู้สึกที่มีต่อเด็กผมขอดก็เป็นอย่างนั้น…หากฉันไม่โกหกตัวเอง

และคงเพราะเป็นแบบนั้น เมื่อได้ยินเสียงคนเดินกันมาตามถนน เสียงพูดคุยกันจอกแจกมาแต่ไกล บอกให้รู้ว่าหนังขายยาเลิกแล้ว ฉันจึงผลักตัวญาติผู้น้องออก บอกเรียบๆ ว่า

“รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อแม่จะมาแล้ว”

ปิมปาลุกขึ้นมานั่งกลางสะลี เสื้อยังอยู่ในอ้อมแขน ผิวขาวผุดผาดอยู่ในห้องสลัว แววตาจ้องมองฉันอย่างต้องการบางสิ่งมากกว่านั้น

“ไปสิ” ฉันกลับพูดซ้ำ แปลบในอกตัวเองหนหนึ่ง แต่ไม่นึกอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร

ถ้าจะมีใครสักคนเลวเกวชาติหมา ไม่ต่างอะไรกับอีกหลายๆ คนที่เคยพบมา ก็คือตัวฉันนี่แหละ

“พี่จะไปส่งปิมไหมคะ” เด็กผมขอดถามเสียงเบา

“ก็ได้ ถ้ารีบลงเรือนกันทัน”

 

ยังมีคนเดินผ่านถนนเพื่อกลับเรือนไม่มากนัก เพราะถ้าหนังเพิ่งเลิกใหม่ๆ ไฟจะยังสว่างจ้าเต็มลาน ร้านขายของกินต่างๆ จะคึกคักกันในตอนนั้น แต่ละคนมักแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวผัด ลูกชิ้นปิ้ง หรือขนมถังแตกเอากลับไปกินกันต่อที่บ้าน ไม่ก็ห่อไว้กินกับข้าวตอนเช้า

รอจนแน่ใจว่าได้จังหวะ ค่อยชักแขนปิมปาออกประตูรั้ว ลัดเลาะอย่างรวดเร็วจนไปถึงทางเข้าบ้านเก่า ผ่านต้นมะปรางสูงใหญ่ ซึ่งแม้ยายจะตายไปแล้ว ต้นไม้ยังอยู่

“ไป เข้าบ้านเสีย” ฉันเอ่ยปาก เพื่อจะรีบผละไป

“เดี๋ยวก่อนสิคะ” เสียงแผ่วร้องเรียก

“อะไร?”

“พี่…ก็ชอบใช่ไหมคะ”

เกือบจะนิ่งอึ้งไป แต่ไวกว่าความคิดคือปากที่พูดตอบทันควัน

“จะถามทำไมอีก”

ความเจ็บปวดฉายชัดบนใบหน้านั้นทันที รู้ได้จากปากที่สั่นระริกฉับพลัน และสิ่งนั้นด้วยที่ทำให้ฉันหงุดหงิดมากขึ้นอีก

“จะพูดกันให้ได้อะไรขึ้นมา พี่บอกว่าให้รีบเข้าบ้าน จะรอให้ยายร่อยกลับมาก่อนหรือยังไง!”

“ก็…ก็ถ้าปิมกลับมาก่อน ยายไม่ยิ่งสงสัยหรือคะ ว่าทำไมไม่รอ”

“เห็นมั้ยล่ะ!” ฉันลงเสียงหนัก เหมือนตั้งใจจะโยนทุกสิ่งไปให้เด็กผมขอดรับเสีย “ถึงตอนนี้ค่อยมีความคิด!”

ใบหน้าขาวซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม และน้ำตาก็ทะลักออกมาจนกลบแสงดาวก่อนหน้าเสียสิ้น ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองทำแบบนั้นเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา รู้แต่เพียงว่า เมื่อญาติผู้น้องจากไปในสภาพนั้น ฉันก็เจ็บร้าวในอกเหมือนกัน

หากอีกซีกส่วน…ก็สาแก่ใจอยู่เงียบๆ

บางทีอาจดีเหมือนกัน ที่ฉันจะฝากบาดแผลให้คนอื่นได้บ้าง

 

แล้วชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนั้น ถึงเช้าวันใหม่ เมื่อแสงแดดสาดส่อง หมู่นกกาบินออกจากรัง ฉันก็ออกจากบ้าน สะพายถุงย่ามห่อข้าว มีผ้าขาวม้าและหมวกปีกกว้าง ปั่นจักรยานไปหาท้องทุ่ง

ในไร่เพาะต้นกล้าใบยาสูบ ปลดของออกจากรถถีบ พันผ้าโพกคลุมหน้า สวมรองเท้าบู้ทยาง ย่ำลงไปในแผ่นดิน ทำทุกสิ่งตามแต่จะได้รับมอบหมาย

ไม่มีอะไรให้คิด ไม่มีอะไรให้ฝัน เกือบจะเป็นอย่างนั้น ทุกๆ วันที่ผ่าน

ฤดูกาลหมุนเวียน หน้าร้อน หน้าฝน จนถึงจะเข้ายามหนาวอีกคราว

ชีวิตฉันวนเวียนตามการขึ้นตกของดวงตะวัน เลิกงานค่ำแลงก็กลับบ้าน กินข้าวกินปลาร่วมโตกกับพ่อแม่และน้อง พี่โฟยังคงหายสาบสูญไป และพี่ตรีก็อยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้าง เริ่มใช้ชีวิตวัยหนุ่มของตัวเองอย่างเต็มที่ จนบางเวลากลับมาก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่ แต่อารมณ์เสียใส่กันครั้งใด แม่ก็เป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง

 

วันนั้น เป็นย่ำเย็นที่แดดเหลืองเรืองรอง ดอกหญ้าข้างทางชูช่อไสวในลมพัดเบา เสียงจอกแจกเหมือนนกแตกรังเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เหล่าคนงานปลดหมวกปลดผ้า ปล่อยแก้มรับแสงสุดท้ายของวัน พากันออกจากแปลงเพาะเร็วรี่

แต่ล้อจักรยานเบียดดินผ่านไปคันแล้วคันเล่า ฉันยังต้องหงุดหงิดกับการจูงรถถีบโซ่ขาด

“พี่ เอารถทิ้งไว้มั้ย ซ้อนฉันกลับไปก่อน”

หวานตะโกนถาม พลางจอดรถดักหน้า

“เราว่าจะรีบกลับไปซักผ้า ไม่งั้นจะเดินเป็นเพื่อน”

“ไม่เป็นไร”

ฉันยังเดินต่อ เพราะคงทิ้งรถถีบไว้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น วันต่อไปก็ไม่มีรถมาทำงานอยู่ดี

“เธอไปเถอะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ใกล้แค่นี้”

แต่หวานยังมีสีหน้ากังวล ในจำนวนเพื่อนร่วมงานทั้งหมด ฉันอยากจะนับว่าเด็กสาวคนนี้ คือผู้ที่เป็น “เพื่อน” จริงๆ ถึงจะพูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่หวานต่างจากคนอื่นๆ ทุกคนไป

เธอมีน้ำใจแก่ฉันเสมอมา ไม่เคยเรียกหาการตอบแทนใดๆ และเป็นคนซื่อตรง จริงใจ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แม้แต่ตัวฉัน ยังไม่เคยทำได้อย่างเธอ

“หวานไปเถอะ” ฉันจึงมักจะพูดกับหวานอ่อนโยนมากกว่ากับใครๆ แม้จะแสร้งแสดงสีหน้าอีกแบบ

“ไปเถอะน่า!”

 

แล้วเสียงคนและรถถีบก็หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างโล่งสองข้างทาง

จะว่าไป ยามเย็นสวยนัก ทางทิศตะวันตก เมฆมีรังสีแปลกตา คล้ายในฟ้าซ่อนเฉดสีสัน มองใกล้เห็นดอกหญ้าสีขาวเป็นกลุ่ม มีแมลงบินวน มองกลาง ต้นอ้อกอแขมชูก้าน บอกให้รู้ว่าแนวไหนเป็นสายธารผ่านทุ่ง

มองไกล นกบินเป็นเส้นเป็นสายกลับรัง

“สวยนะ ว่ามั้ย”

เหลียวขวับไป ฉันเห็นรอยยิ้มสว่างจากผู้หญิงผมยาว

คนตัวสูง ผิวขาว ยิ้มเห็นฟันสวย ยังอยู่ในเสื้อผ้าทำงานสาบเหงื่อ แต่เป็นคนเดียวที่ไม่ใช้จักรยานเหมือนใครๆ

“อ้าว…พี่ ทำไมมาทางนี้คะ”

ฉันจำได้ว่า บ้านของผู้หญิงผมยาวไม่ต้องผ่านเส้นนี้

“จะซื้อของข้างหน้าหน่อย”

“อ้อ”

เธอคงหมายถึงร้านขายของชำข้างหน้า

แปลงเพาะนั้นอยู่ห่างจากชุมชนมากอยู่ ถ้าจากหมู่บ้านของฉัน ต้องผ่านถึงสองหมู่บ้าน ข้ามสะพาน ข้ามเนิน ขึ้นสูงลงต่ำ ถนนแตกปลายเหมือนกิ่งไม้ย่อย กว่าจะผ่านโค้งแนวไม้ไปเจอทุ่งกว้าง เป็นที่ราบมองเห็นภูเขาโอบล้อมเป็นวงกลม

จะว่าใกล้ก็ไกล จะว่าไกล ก็ไปมาจนคุ้นชิน

แต่แล้วก็อดนึกถึงผู้หญิงอีกคนไม่ได้ ผมสั้นร่างเล็ก…คนที่เด็กกว่าร่างสูงนี้ ที่เหมือนเงาตามตัวกันและกัน และได้ยินทั้งคู่เรียกกันว่า พี่สาว น้องสาว

“พี่ฝันไปแล้วนี่คะ”

ก่อนหวานจะผ่านไป ฉันยังทันได้เห็นคนร่างเล็กปั่นจักรยานไปกับคนอื่นๆ อย่างรวดเร็วและร่าเริง

…ยังอดแปลบใจไม่ได้ เมื่อไร้คำทักทาย ไม่มีแม้สายตาจะมองมาสักน้อย แม้เห็นฉันจูงรถถีบอยู่ตามลำพัง

เจ้าหล่อนเป็นอย่างนั้น หลายๆ วันมักเป็นเช่นนั้น แต่ก็มีอีกบางวัน…ที่จอมฝันเข้ามาใกล้จนแทบใจสั่น เหมือนวันที่แทบจะโอบฉันไว้ในอ้อมแขน หน้าหิ้งวางหม้อน้ำนั่น

ใครกันหนอจะอ่านใจได้ว่า คนอย่างจอมฝันต้องการอะไรแน่

“พี่ชอบดูนกบินนะ” เสียงห้าวดังใกล้ตัว ดึงฉันออกจากความคิด

“พี่สาว” ของคนตัวเล็กนั่นแหละ ที่กำลังมองดูหมู่นกกระหยับปีกบินผ่านเราอีกแถวหนึ่ง

“…รู้สึกว่ามันอิสระมากๆ อยากไปไหนก็ได้ไป”

 

เหลือบตาดูเสี้ยวหน้า หากไม่ยิ้ม พี่โสมคนนี้ก็เหมือนผู้ชายคนหนึ่ง ผมยาวถึงกลางหลังรวบไว้เป็นหางม้า ตามองเลยไปจนสังเกตได้ว่า คนคนนี้ไม่มีนมตั้งเต้าอย่างคนอื่น

ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต ว่าฉันฉวยโอกาสมองลึกแค่ไหน

“บางทีก็อิจฉานะ เห็นเค้าเล่ากันว่าน้องมีครอบครัวที่ให้อิสระมาก พ่อแม่เป็นคนดีคนเก่ง แม่พี่ก็รู้จักพ่อแม่น้อง พูดถึงบ่อยๆ ว่าเป็นคนดี เลี้ยงลูกได้ดีทุกคน”

มีอะไรบางอย่าง ผิดหูในคำพูดนั้น

“พี่พูดเหมือนตัวเองไม่ดี…”

“ก็ทำนองนั้นมั้ง” มีรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก “ที่บ้านพี่ ไม่เหมือนบ้านคนอื่นหรอก อย่างมีหนังมาฉาย ต่อให้แม่สบายดีก็ใช่ว่าจะไปได้”

ฉันเงียบไป ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เป็นเรื่องแปลกประหลาดไม่น้อยที่ได้รับฟังคำพูดแบบนั้น

“ขอโทษนะ เอาเรื่องรกหูเล่าให้ฟัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” รีบตอบออกไป แต่ไม่รู้จะพูดอะไรอีก

เดินไปด้วยกันอีกเงียบๆ พักหนึ่ง จนเหงื่อเริ่มซึมขมับ ฉันเพิ่งนึกได้ เลยทางเลี้ยวเข้าร้านขายของชำแล้ว แต่ผู้หญิงผมยาวยังคงเดินมาเรื่อยๆ กับฉัน

จนถึงอีกโค้งเดียวจะเป็นทางชันลาดต่ำ มีต้นไม้ใหญ่แผ่เงาครึ้ม ตรงนั้นมีตูบร้างผุพังหลังหนึ่ง ผู้คนเล่าต่อกันมาเป็นทอดๆ ว่า เจ้าของเป็นชายแก่ เคยผูกคอตายในนั้น

จู่ๆ ผู้หญิงผมยาวก็หยุดเดิน

“น้อง”

“…คะ”

 

ยังไม่เข้าหน้าหนาวเสียทีเดียว แต่อย่างรวดเร็วที่แสงเฉิดฉายในขอบฟ้าถูกเก็บไปไม่เหลือรอย ทิ้งแค่ขีดสีส้มนิดเดียวทางเวิ้งฟ้าตะวันตก ลมเย็นพัดกรู ยินเสียงแสกสากแผ่วๆ มาจากหลังคาใบตองตึงผุพัง

อ้อ มีแมวตัวหนึ่งเหยียดหลังอยู่บนนั้น

“ชอบพี่นะ”

ใจฉันกระตุกวูบ ก่อนจะเหลียวไปดูหน้าคนพูด

นั่นหมายถึง ชอบฉัน ใช้คำว่าพี่แทนชื่อฉัน หรือหมายถึงขอให้ฉันชอบเธอ…

“ฝันเคยบอกว่า น้องเป็นเด็กน่าสนใจมาก…”

อ้อ ฉันได้ยินชื่อของคนผมสั้นแทรกมาด้วย

“พี่ก็คิดอย่างนั้น…”

นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน แต่ไม่ทันได้ถามอะไรอีก ร่างสูงก็ยิ้มให้

“ดีใจที่ได้คุยด้วยนะ พรุ่งนี้พี่จะทำกับข้าวมาเผื่อ”

พูดแค่นั้นก็หันหลังเดินย้อนกลับไป ทิ้งฉันไว้เพียงลำพังใต้ร่มไม้นั้น