ในประเทศ / พอแล้ว โดนด่าพอแล้ว

ในประเทศ

 

พอแล้ว

โดนด่าพอแล้ว

กระแสข่าว “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จะวางมือทางการเมือง หลังผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง มีมาเป็นระยะ
ด้านหนึ่ง มีการอ้างถึงปัญหาสุขภาพ
ด้านหนึ่ง ไม่อยากเผชิญภาวะ “ตำบลกระสุนตก” ที่ถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ “พี่ใหญ่” ที่ต้องแบกภาระด้านต่างๆ เอาไว้มากมาย
ล่าสุด ในโลกโซเชียลเพจของ ROOM.44 ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร
โดยเมื่อถูกถามถึงเรื่องสุขภาพส่วนตัว ที่ในช่วงหลังว่ามักมีอาการป่วยอยู่บ่อยๆ
พล.อ.ประวิตรกล่าวยืนยันว่าสุขภาพร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่
และได้กล่าวต่อว่า “คงไม่มีอะไรหรอก มีแต่คนมาโจมตีผม ผมไม่เสียกำลังใจเลยนะ ผมทำงานด้วยความตั้งใจ ถึงแม้ว่ามันจะช้าหน่อยเราก็ต้องทำ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย ผมก็ทำงานของผมไปเรื่อย ไม่ได้ละเว้นว่าวันนี้ขี้เกียจทำ ผมตื่นตี 4 ทุกวัน เวลาออกกำลังกายก็ไม่มีเลย”
เมื่อถามถึงโอกาสที่จะเล่นการเมืองในอนาคต และประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา


พล.อ.ประวิตรได้กล่าวตอบด้วยสีหน้าที่เรียบขรึม และน้ำเสียงเบาๆ ว่า
“ผมพอแล้ว โดนด่าพอแล้ว”
“ด่าตลอดจริงๆ ผมทำแทบตาย ผมได้อะไรขึ้นมา โดนด่าอย่างเดียว ไม่ได้อะไรเลย เอางบประมาณแผ่นดินไปซื้อรถถังบ้างอะไรบ้าง ปั๊ดโธ่! รถถังมัน 50 ปีแล้ว มันก็ต้องเปลี่ยน โอย ที่อื่นเขาซื้อเครื่องบิน มาเลเซียซื้อกันแหลกลาญ ของเขาไม่ว่าอะไร ของเราซื้อเรือดำน้ำลำเดียว โอ้โหย! จะตายกันให้ได้เลย เงินหมื่นกว่าล้าน ผมไม่เคยทำอะไรเสียหายให้ประเทศเลย!”
“นาฬิกา 25 เรือนก็ได้ขอยืมเขามา และมันก็จบไปแล้วไง หาเรื่องผมไปเรื่อย เรื่องนาฬิกาผมจะยืมคนใส่ไม่ได้เหรอ มันก็ปกติ”

ประโยค “ผมพอแล้ว โดนด่าพอแล้ว” ข้างต้นนี้เอง
ทำให้คำถาม “อนาคตทางการเมือง” ของ พล.อ.ประวิตร ถูกพูดถึงอีกครั้ง
พร้อมกับคำถาม
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรระบายความรู้สึกเช่นนั้นออกมาอีกครั้ง
ถ้าจะบอกว่าเพราะถูกด่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงกันข้ามในทางการเมือง
หรือจาก “ภายนอก”
ย่อมไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก หรือเป็นเรื่องผิดปกติ
เพราะ 4 ปีที่อยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตรถูกด่าเป็นประจำอยู่แล้ว
ปัจจัยภายนอก จึงไม่น่าจะมีเหตุให้ พล.อ.ประวิตรน้อยใจเท่าไหร่นัก
หรือเรื่องนี้มีปัจจัย “ภายใน” เข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้ละเอียดอ่อน

มองไปยังประเด็นการโยกย้าย “ทหาร” ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างสูง เพราะเปลี่ยนแปลงทุกเหล่าทัพ
และทุกเหล่าทัพนั้น จะต้องเป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาลและ คสช.
เพื่อเป็นหลักประกันให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ หากหวนกลับมาเป็นนายกฯ รอบที่ 2
แม้ว่าการโยกย้ายทหารจะคลายตัวจากการผูกขาดของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ แต่นายทหารที่ถูกเลือก ก็ล้วนรับประกันได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียว
ทำให้โผโยกย้ายเป็นไปอย่างราบรื่น
แม้จะมีข่าวลืออยู่บ้าง แต่คลื่นลมก็ไม่รุนแรง
โดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพ นิ่งและลงตัวตั้งแต่แรก นั่นคือ
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.20) จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม
กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี เสนาธิการทหาร (ตท.18) ขยับขึ้นเป็น ผบ.ทสส.
กองทัพเรือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ รอง ผบ.ทร. (ตท.18) เป็น ผบ.ทร.
กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้ช่วย ผบ.ทอ. (ตท.18) เป็น ผบ.ทอ.
กองทัพบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. (ตท.20) เป็น ผบ.ทบ.
ดังนั้น ปัญหาการโยกย้ายนายทหาร จึงไม่น่าใช่ประเด็นที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรน้อยใจ

แต่ที่ได้รับความสนใจ คือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 เมื่อราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.)
มีสาระสำคัญคือปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ คตช.ใหม่
ปรากฏว่ามีการถอดชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงชื่อนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกจากการเป็นที่ปรึกษากรรมการแล้ว
ขณะเดียวกันได้เพิ่มชื่อนายประยงค์ ปรียาจิตต์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นกรรมการด้วย
ที่สำคัญ ยังคงมีชื่อ นายต่อตระกูล ยมนาค อยู่
ต้องไม่ลืมว่า นายต่อตระกูลเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ คตช. ที่เคยออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการที่ล่าช้าในการตรวจสอบกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร
และเคยทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน คตช. โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าว แสดงความกังวลต่อบทบาทของ พล.อ.ประวิตรที่กำลังถูกตรวจสอบเรื่องที่มาของนาฬิกาหรู
การที่ พล.อ.ประวิตรถูกให้ออก ขณะที่นายต่อตระกูลอยู่
ทำให้เกิดคำถามว่า ในรัฐบาลและ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร อย่างสุกงอมแล้วหรือยัง
ประกอบกับมีข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์จัดตั้ง คตช. ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2558 มีการปรับปรุงโครงสร้างรายชื่อกรรมการและอำนาจหน้าที่รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง
โดยทุกครั้งมี พล.อ.ประวิตรและนายวิษณุเป็นที่ปรึกษากรรมการมาโดยตลอด
กระทั่งคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2561 ไร้ชื่อ พล.อ.ประวิตร
แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่า การปรับรายชื่อ พล.อ.ประวิตรออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาประธานกรรมการ ว่า “ไม่มีอะไร แค่แบ่งงานท่านออกมาบ้าง ไม่เกี่ยว ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวที่ออกมา พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ที่มีชื่อเป็นรองประธานยังไม่ได้รับผิดชอบ จึงแบ่งงานของ พล.อ.ประวิตรออกมาเท่านั้นเอง ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น อย่าไปคิดให้เป็นอย่างอื่นสิ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นแหละ”
เมื่อถูกจี้ถามว่า เหตุผลที่ปรับชื่อ พล.อ.ประวิตรออก ไม่ใช่เพราะเหตุผลเรื่องนาฬิกาหรูใช่หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่เกี่ยว ผมไม่สนใจ เรื่องไหนใครตรวจสอบก็รับไปสิ เขาตรวจสอบว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ผมไปเกี่ยวอะไรเล่า ไม่เกี่ยว แล้วทำไมเธอไม่ถามล่ะ คุณต่อตระกูลทำไมยังอยู่ ผมเอาออกหรือเปล่า ก็ว่าโน่นว่านี่อยู่บ่อยๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิมในคณะ ผมไม่ได้ตั้งแบบนี้”
ไม่มีปฏิกิริยาหรือคำสัมภาษณ์ใดๆ จาก “พี่ใหญ่”
แต่ได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างจาก พล.อ.ประวิตร

นั่นก็คือ พล.อ.ประวิตรได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
ด้วยเหตุว่า เป็นการตั้งขึ้นมาให้เป็นโฆษกประจำตัว ที่จะมาช่วยดูแลความมั่นคง
เช่น เรื่องปัญหาหนี้นอกระบบ กลุ่มคอลเซ็นเตอร์
ซึ่งงานเหล่านี้ พล.อ.ประวิตรหวังจะเรียกคะแนนสนับสนุนกลับมา เพราะเกี่ยวกับประชาชนจำนวนมาก
โดยเฉพาะเรื่องหนี้นอกระบบนั้น หากทำสำเร็จ ภาพลักษณ์ในทางบวกจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์เข้ามาช่วยดูแล ยิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รูปธรรมที่เด่นชัดก็คือ การเกิดขึ้นมาของเพจ “มุมน่ารักของลุงป้อม” ถือเป็นการรุกทางโซเชียลอย่างเต็มตัว
โดยเชิญชวนว่า “มาทำความรู้จักบิ๊กป้อม แบบไม่มีอคติ” พร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยคว่า “เปิดตา เปิดใจ อะไรที่คิดว่าไม่ใช่ ก็อาจจะโดนใจได้นะคะ”
เพจดังกล่าวมีการนำเสนอภาพภารกิจ ประวัติ และการรับราชการในอดีต รวมถึงบทบรรยายถึงความเป็นพี่ใหญ่ บิ๊กบราเธอร์ของแก๊งบูรพาพยัคฆ์ พี่ชายที่แสนดีและอบอุ่น จนกลายเป็นที่รักของเพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพ พร้อมอธิบายถึงความเป็นคนธรรมดาที่เป็นผู้นำ ผู้กล้า เมตตา ใจกว้าง
โดยย้ำว่าทุกลมหายใจของ “บิ๊กป้อม” ทำเพื่อประเทศชาติ รวมถึงเพื่อน พี่น้อง ครอบครัว จนกลายเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจของคนในกองทัพ
มีความแข็งแกร่งจากที่โดนมรสุมข่าวกระหน่ำรายวัน ทั้งกรณีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน ซ่อมไม่ตาย แถมเจ้าตัวกลับเป็น “ป้อมปราการ” เข้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
นี่ย่อมเป็นการรุกกลับ หลังจาก พล.อ.ประวิตรระบุถูกรุมด่าอยู่คนเดียว
แน่นอน ซึ่งหากด่ามาจากภายนอกคงไม่เท่าไหร่
แต่หากภายในมาร่วมบั่นทอน แม้จะไม่ใช่การร่วมวงด่า แต่การกระทำที่ไปช่วยเสริมให้เสียงด่าจากภายนอกมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
พี่ใหญ่ก็ย่อมจะอดน้อยใจไม่ได้เป็นธรรมดา
ดังที่เอฟซีลุงป้อม ระบายความรู้สึกไว้ในเพจ “มุมน่ารักของลุงป้อม” ว่า
“ลุงป้อม อายุ 73 ปีแล้ว เห็นทีไรนึกถึงพ่อ จริงๆ ควรจะพักอยู่บ้าน นอนสบายๆ ครอบครัวก็เลี้ยงตัวเองได้ทั้งชีวิต แต่ลุงต้องมาตื่นเช้า ทำงานหนักเพื่ออะไร? คิดสิคิด ลองคิดคิด”
สะท้อนภาวะน้อยใจ ผ่านแฟนคลับลุงป้อม อย่างไม่ปิดบังอำพราง
ซึ่งคนกันเอง และคนในวงใน คงต้องรีบเคลียร์ เพราะศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
การตอกลิ่ม การสร้างเงื่อนไขให้ “ป้อมปราการแตกจากภายใน” ย่อมรุนแรงเป็นธรรมดา
เป้าหมายเฉพาะหน้าที่ต้องดำเนินไปคือ ทำให้ คสช.และรัฐบาลครองอำนาจต่อไป
ส่วนหลังจากนั้น พล.อ.ประวิตรจะลงจากหลังเสืออย่างนิ่มนวล หรือจะขี่หลังเสือต่อไป ก็ย่อมไม่มีปัญหา
เพียงแต่ปัจจุบัน “พี่ใหญ่” ก็มีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจได้เป็นธรรมดา