ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ตุลาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
เพราะความที่ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายสำคัญของค่าย “ปอร์เช่” ยอดรถสปอร์ตหรูจากเยอรมนี เนื่องจากมียอดขายและความนิยมรถค่ายนี้อย่างเอกอุเหลือเกิน
โดยมีบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการในเมืองไทย
บริษัทแม่จึงส่งสปอร์ตแกรนทัวริ่ง 4 ประตู รุ่น “พานาเมร่า” (Panamera) เข้ามาเปิดตัวหลังงานเปิดตัวรอบสื่อมวลชนที่ “ปารีส มอเตอร์โชว์” เพียงวันเดียวเท่านั้น
แต่หากเทียบกับรอบทั่วไปแล้ว ในเมืองไทยเปิดตัวก่อนที่ปารีสฯ ด้วยซ้ำ
“พานาเมร่า” เป็นเก๋งสปอร์ต 4 ประตูที่กวาดยอดขายอร่อยเหาะมากกว่า 150,000 คัน หลังเปิดตัวรุ่นแรกเมื่อปี ค.ศ.2009
ยืนระยะขายนานกว่า 7 ปี กระทั่งเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ปอร์เช่ก็ส่งเจเนอเชั่นที่ 2 ออกมาตอกย้ำความสำเร็จ
รุ่นล่าสุดนำเอาดีเอ็นเอของยอดรถในค่ายคือ “ปอร์เช่ 911” มาผสมผสานในดีไซน์ที่มากขึ้น
ทีมออกแบบระบุว่า เอกลักษณ์ของงานดีไซน์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากปอร์เช่ 911 ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะและความสะดวกสบาย พานาเมร่า ใหม่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ เป็นรถสปอร์ตที่ปราศจากข้อผิดพลาด เส้นสายของตัวถังที่พลิ้วไหวไร้จุดสิ้นสุด
แนวซุ้มล้อที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง แนวหลังคาด้านหลังที่ลดระดับความสูงลงต่ำกว่าเดิมถึง 20 มิลลิเมตร ให้มุมมองที่บ่งบอกถึงลักษณะความพร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จะพบเห็นได้จากสุดยอดรถสปอร์ตแห่งตำนาน ปอร์เช่ 911
ฝากระโปรงหน้าทรง arrow-shaped ดูราวกับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่ตลอด งฝากระโปรงหน้ากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับแนวซุ้มล้อทั้ง 2 ฝั่ง เส้นสายพลิ้วไหวต่อเนื่องถึงท้ายรถ
ไฟหน้า LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED 4 ลำแสง
ไฟท้าย LED แบบ 3 มิติ พร้อมไฟเบรก 4 ลำแสง ระบบเปิดและปิดฝากระโปรงท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้า
ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 19-21 นิ้ว (แล้วแต่รุ่น)
ภายในปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ แน่นอนว่าภาพรวมมีกลิ่นอายของปอร์เช่ 911 เช่นเดียวกับภายนอก แต่มีอารมณ์และความสะดวกสบายแบบรถซาลูนมากกว่า
ตำแหน่งเบาะนั่งอยู่ในระดับต่ำสไตล์รถสปอร์ต ทำให้ชุดแผงหน้าปัดอยู่ในระดับสายตา มาตรวัดประกอบด้วยเกจ์วัดรอบเครื่องยนต์แบบเข็มสุดคลาสสิค ประกบด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลทั้ง 2 ฝั่ง
คอนโซลกลางมีจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว นำนวัตกรรมแนวคิดใหม่ในการควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานของตัวรถผ่านหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง ติดตั้งลงในยนตกรรม แกรนทัวริ่ง เจเนอเรชั่นที่ 2 คันนี้อีกด้วย นั่นคือ ระบบ Porsche Advanced Cockpit มีหลักการทำงานที่ไม่แตกต่างจากสมาร์ตโฟน
ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ ผ่าน Interfaces และปรับตั้งค่าผ่านหน้าจอสัมผัส LED ความละเอียดสูงได้อย่างง่ายดาย ระบบการติดต่อสื่อสารใหม่ล่าสุด “Porsche Communication Management” (PCM 4.1) ช่วยขยายขีดความสามารถในการติดต่อสื่อสารผ่านสัญญาณดิจิตอลและบริการออนไลน์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
ไฟส่องสว่างเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสาร และระบบเครื่องเสียง 3D ไฮเอนด์
พนักพิงเบาะหลังแบ่งพับได้ในสัดส่วน 40:20:40 (เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถจาก 495 เป็น 1,304 ลิตร)
เทคโนโลยีสำคัญๆ ของปอร์เช่ โดยเฉพาะระบบควบคุมอาการตอบสนองของรถ จะถูกติดตั้งมาให้อย่างเต็มอัตรา อาทิ ช่วงล่างแบบถุงลม adaptive air suspension
ระบบควบคุมการทำงานของตัวถัง electronic 4D Chassis Control รวมไปถึงระบบช่วยเหลือล้ำสมัยอีกมากมายที่เพิ่มทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
และที่พลาดไม่ได้คือระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง “Rear axle steering” ที่ขอยืมมาจากสุดยอดตัวแรงทั้ง 918 Spyder และ 911 Turbo
พานาเมร่าใหม่ มีมิติตัวถัง (กว้างxยาวxสูง) 1,937×5,049×1,423 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมกว้างขึ้น 6 มิลลิเมตร ยาวขึ้น 34 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 5 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้น 30 มิลลิเมตร ทำให้ตำแหน่งของล้อคู่หน้าขยับไปด้านหน้ารถมากขึ้น
แม้ดูตัวเลขเหมือนมิติตัวถังจะเพิ่มขึ้นขึ้นไม่เยอะนัก แต่ผลจากการออกแบบรวมถึงลดระดับความสูงทำให้รถดูกว้างกว่ารุ่นเดิมพอสมควร
ด้านขุมพลังแยกตามรุ่นย่อย
เริ่มจาก “พานาเมร่า เทอร์โบ” (Panamera Turbo) ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ไบเทอร์โบ ความจุ 4.0 ลิตร กำลังสูงสุด 550 แรงม้า ที่ 5,750 รอบต่อนาที แรงบิดมหาศาล 770 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,960-4,500 รอบต่อนาที
หากเทียบกับรุ่นเก่าแรงม้าเพิ่มขึ้น 30 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น 70 นิวตันเมตร
อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในเวลา 3.8 วินาที และเมื่อติดตั้งชุดแต่งสปอร์ตโครโน (Sport Chrono Package) สามารถทำได้ในระยะเวลา 3.6 วินาที
ความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ปอร์เช่ใช้ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ complex twin-scroll สร้างแรงดันอากาศป้อนให้แก่ห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์สามารถสร้างแรงบิดสูงสุดได้ตั้งแต่การทำงานในรอบต่ำ
นอกจากนี้ พานาเมร่า เทอร์โบ ยังเป็นรถยนต์ปอร์เช่รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบ adaptive cylinder control ในกรณีที่เครื่องยนต์ทำงานในช่วงที่ไม่ต้องการกำลังเต็มที่ ระบบดังกล่าวจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์จากทั้งหมด 8 สูบ ให้เหลือเพียง 4 สูบชั่วคราว
จึงช่วยลดอัตราการบริโภคน้ำมันลงได้สูงสุดถึง 30%
อีกรุ่นคือเครื่องยนต์เบนซิน V6 ไบเทอร์โบ ความจุ 2.9 ลิตร ในรุ่น “พานาเมร่า 4 เอส” (Panamera 4S) ให้กำลังสูงสุด 440 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร
กำลังมากกว่ารุ่นเดิม 20 แรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้น 30 นิวตันเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม
อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 4.4 วินาที เมื่อติดตั้งชุดแต่งสปอร์ตโครโน สามารถทำได้ในระยะเวลา 4.2 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ที่ 289 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สุดท้ายคือ “พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด” (Panamera 4 E-Hybrid) เครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ 2.9 ลิตร กำลังสูงสุด 326 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้า 100 กิโลวัตต์ 136 แรงม้า กำลังรวมทั้งระบบ 462 แรงม้า แรงบิดมหาศาลกว่า 700 นิวตันเมตร
อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในเวลา 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 278 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้เป็นระยะทาง 50 กิโลเมตร ใช้ความเร็วสูงสุดในโหมดไฟฟ้าได้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับ 40 กิโลเมตรต่อลิตร
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ในอัตราที่ต่ำเพียง 56 กรัมต่อกิโลเมตร
ทุกรุ่นย่อยทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะคลัตช์คู่ 8 จังหวะ (PDK II) ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าถึง 16% เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ในรุ่นก่อน พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (permanent all-wheel drive system)
“พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด” ราคาเริ่มต้น 9.8 ล้านบาท (ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว)
“พานาเมร่า 4 เอส” ราคาเริ่มต้น 13.5 ล้านบาท
และ “พานาเมร่า เทอร์โบ” ราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท