ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“การห้ามผู้นำทหารขึ้นเป็นประธานอาเซียนไม่ได้เป็นการลงโทษประชาชน [ไทย] แต่เป็นการลงโทษผู้นำทหาร[ไทย]”
คอร์เนเลียส์ ปูร์บา
จาการ์ตา โพสต์
สืบเนื่องจากข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ “จาการ์ตา โพสต์” (ดูรายละเอียดในมติชนออนไลน์, 3 สิงหาคม 2561) ที่นำเสนอว่า ในปี 2562 ประธานอาเซียนจะเลื่อนลำดับตามตัวอักษรจากสิงคโปร์มาเป็นไทยนั้น น่าจะให้เลื่อนผ่านประเทศไทยไปเลย เพราะรัฐบาลไทยมาจากการยึดอำนาจ จึงไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน
ข้อเสนอเช่นนี้ดูเผินๆ ก็ไม่น่ากังวลอะไร
เพราะโดยทั่วไปแล้วเรามักจะเชื่อกันว่า อาเซียนมีจุดยืนสำคัญที่จะไม่เข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก
และเชื่อตามมาว่ารัฐบาลไทยจะมีรูปลักษณ์อย่างไรก็ตาม เพื่อนบ้านในอาเซียนก็จะยอม “ปิดตา” ให้กับสถานะของรัฐบาลกรุงเทพฯ
เราคิดง่ายๆ เช่นนี้ แล้วเราก็สบายใจแบบของเรา โดยไม่ต้องรู้สึกกังวลกับข่าวที่เกิดขึ้น
และเชื่อโดยไม่ต้องคิดมากว่า ในที่สุดแล้วหัวหน้าคณะรัฐประหารที่กรุงเทพฯ ก็จะขึ้นดำรงตำแหน่งอันมีเกียรติของภูมิภาคนี้
ผู้นำทหารไทยมักจะคิดเข้าข้างตนเองเสมอ หลังจากมีโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศหลายครั้ง
จนพวกเขามีความมั่นใจว่ารัฐบาลทหารไทยจะมี “ที่ยืน” ในเวทีนี้ได้โดยไม่ถูกต่อต้าน ที่จริงแล้วนักการทูตไทยรู้ดีว่า การตอบรับในทางการเมืองต่อบทบาทของรัฐบาลทหารเป็นเช่นไร
รัฐบาลทหารไทยกับรัฐมหาอำนาจ
ในอีกด้านหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลทหารไทยหลังรัฐประหาร 2557 เปลี่ยนแปลงนโยบายทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น (และรวมทั้งรัสเซีย) จนกลายเป็นความกังวลในระดับภูมิภาคว่า รัฐบาลทหารไทยกำลังหัน “แกนความสัมพันธ์” ไปสู่การเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับจีน
เนื่องจากเสียงวิจารณ์จากรัฐบาลปักกิ่งต่อการยึดอำนาจในไทยเป็นดัง “เสียงแห่งความเงียบ”
หรืออาจกล่าวได้ว่า ปักกิ่งกลายเป็น “หลังพิง” ให้กับการรัฐประหารที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว โดยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ กับการยึดอำนาจที่เกิดขึ้น และผลที่ตามมาก็คือ รัฐบาลทหารไทยอาศัยมหาอำนาจอย่างจีนเป็นดัง “โล่การเมือง” เพื่อต้านแรงกดดันจากโลกตะวันตกที่ไม่ตอบรับกับการรัฐประหารในไทย
อีกทั้งความกังวลเช่นนี้ยังเห็นได้ชัดจากขยายอิทธิพลจีนที่เกิดขึ้นในกัมพูชาและลาวในปัจจุบัน
หรือในกรณีของกัมพูชาก็เห็นมากขึ้นว่า จีนเป็นดัง “พี่ใหญ่” ที่เป็นผู้ให้ความคุ้มครองทางการเมืองแก่รัฐบาลพนมเปญ
และเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่หลังรัฐประหาร 2557 อิทธิพลจีนขยายตัวมากขึ้นในไทยด้วย
ซึ่งทำให้หลายๆ ฝ่ายกังวลอย่างมากว่า ไทยในอนาคตจะกลายเป็น “หน้าด่าน” ของจีน มากกว่าจะเป็น “ด่านหน้า” ของอาเซียน
ลักษณะเช่นนี้แทบจะไม่แตกต่างจากรัฐบาลทหารของเมียนมาหลังจากรัฐประหารในปี 2531 ที่เมื่อรัฐบาลตะวันตกไม่ให้การยอมรับกับการรัฐประหาร และตามมาด้วยมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจแล้ว
รัฐบาลทหารดังกล่าวก็หันไปสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีน จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วว่า ด้วยเงื่อนไขของความเป็นรัฐบาลทหารเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลย่างกุ้งต้องยอมอยู่กับจีน และยอมรับกับการขยายอิทธิพลทั้งทางการเมือง ความมั่นคงและเศรษฐกิจของจีนที่เกิดภายในประเทศ
จนเมื่อพวกเขาเริ่มแบกรับอิทธิพลจีนไม่ไหว การเปิดประเทศด้วยการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ประเทศหลุดออกจากสภาวะดังกล่าว
นอกจากนี้ผู้นำทหารไทยมักจะคิดเข้าข้างตัวเองเสมอมาว่า โลกภายนอกไม่ต่อต้านพวกเขา เพราะวันนี้ผู้นำรัฐบาลทหารไทยสามารถเดินทางเยือนวอชิงตัน ลอนดอน ปารีสได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะหากเป็นในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ผู้นำรัฐประหารจากประเทศด้อยพัฒนาไม่มีโอกาสได้สัมผัสการเยือนเช่นนี้
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะรัฐบาลตะวันตกเหล่านั้นต่างก็มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ทอดทิ้งไม่ได้
พวกเขาจึงยอมที่จะละเลยบรรทัดฐานเดิมด้วยการเปิดทำเนียบต้อนรับการเยือนของหัวหน้าคณะรัฐประหารจากกรุงเทพฯ
รับ-ไม่รับรัฐบาลทหารกรุงเทพฯ
แต่หากลองพิจารณาในอีกมุมหนึ่ง ข้อเสนอที่ปรากฏในจาการ์ตาโพสต์เป็นดังการ “โยนหินถามทาง” ของความรู้สึก “อึดอัด” ที่ไม่ตอบรับกับสถานะของความเป็นรัฐบาลทหารที่กรุงเทพฯ ใช่หรือไม่?
ถ้าเรามองปัญหาในอีกด้าน คงต้องยอมรับว่า รัฐบาลทหารที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นบวกในความเป็นองค์กรในภูมิภาค
และรัฐประหารนี้ยังเป็นเสมือนกับการ “ต้อนรับ” การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของไทย จนเราอาจลืมไปว่า อาเซียนต้อนรับการเดินทางสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาด้วยความยินดี และอาเซียนตกอยู่ในสภาพ “กระอักกระอ่วน” อย่างยิ่งกับการถอยกลับสู่ระบอบทหารของไทย… เป็นสองภาพที่กลับกันโดยสิ้นเชิง
แต่เดิมไทยมักจะเป็นผู้เรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในเมียนมา แต่วันนี้ในขณะที่เมียนมาเดินหน้าเป็นประชาธิปไตย ไทยกลับเดินถอยหลังสู่ระบอบอำนาจนิยม
กระบวนสร้างประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นกับประเทศที่เคยอยู่ใต้ระบอบอำนาจนิยม ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และตามมาด้วยเมียนมา จึงเป็นดังสัญญาณของการสร้างภูมิภาคให้เป็นสังคมเปิดและเสรี
แม้จะยังคงมีรัฐบาลสังคมนิยมหลงเหลืออยู่ในลาวและเวียดนามก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นความหวังว่า ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการสร้างสังคมเสรีในภูมิภาค
ดังนั้น การที่ประเทศในภูมิภาคที่เคยอยู่ใต้ระบอบการปกครองของทหารเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การสร้างประชาธิปไตย จึงกลายเป็นดังสัญลักษณ์ของการสิ้นสุด “ยุครัฐประหาร” ของประเทศในพื้นที่แถบนี้
แต่กลับกลายเป็นว่า การเมืองที่กรุงเทพฯ ถอยตัวออกจากการยึดอำนาจไม่ได้ รัฐประหารในไทยเกิดขึ้นในปี 2549 และเกิดขึ้นซ้ำในปี 2557…
ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีไทยมีรัฐประหารถึงสองครั้ง จนกลายเป็นภาพสะท้อนของความไร้เสถียรภาพ และความแปรปรวนทางการเมือง
และมีนักสังเกตการณ์บางส่วนถึงกับกังวลว่า รัฐประหารที่กรุงเทพฯ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การเมืองในประเทศแถบนี้หวนกลับมาสู่ “ยุคของรัฐบาลทหาร” อีกหรือไม่
แต่ก็ไม่เกิดกระแสการเมืองตีกลับแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แม้การเมืองในบางประเทศจะเบี่ยงเบนออกไปเช่นในกรณีของกัมพูชาที่มีลักษณะเป็น “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) หรือการเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ก็ทำให้ได้ผู้นำที่ไม่ค่อยมีลักษณะเป็นประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยในเมียนมาก็ถูกท้าทายจากปัญหาความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์ จนพรรคฝ่ายค้านที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ดูจะทำอะไรไม่ได้มากนัก
แต่อย่างน้อยเราก็เห็นชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในมาเลเซีย จนเป็นดังการสิ้นสุดของระบอบพรรคเดียวที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน
แต่ในปัญหาทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีประเทศใดเดินย้อนรอยกลับสู่การรัฐประหาร ยกเว้นไทย
สถานะไทยในอาเซียน
ดังนั้น หากมองจากบริบทของการพัฒนาทางการเมืองในภูมิภาคแล้ว คงไม่มีชาติใดที่ต้องการเห็นไทยในฐานะของการเป็นสมาชิกหลักของอาเซียนตกอยู่ในวังวนของความไร้เสถียรภาพอย่างไม่มีจุดจบ
หรือปล่อยให้ไทยกลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” จนกลายเป็นปัจจัยด้านลบของอาเซียน
เพราะการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้นนั้น ก็มีความหวังว่าสมาชิกอาเซียนจะเดินไปสู่สังคมเสรีร่วมกัน แม้จะมีสมาชิกบางส่วนที่ยังปกครองในระบอบสังคมนิยมอยู่
แน่นอนว่าการกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าเราต้องเอามาตรฐานของสหภาพยุโรปมาเป็นเกณฑ์
แต่อย่างน้อยในฐานะของการเป็นสมาชิกหลักที่เคยมีบทบาทอย่างมากในเวทีการทูตของอาเซียน ไทยย่อมถูกคาดหวังที่จะเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้พัฒนาการเมืองในภูมิภาค
ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งไทยเป็นดัง “แชมเปี้ยนประชาธิปไตย” ของอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะของประชาชนไทยต่อระบอบเผด็จการทหารทั้งในปี 2516 และ 2535
ในทางความมั่นคงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่า ไทยไม่ใช่ “โดมิโนตัวที่สี่” แต่กลับสามารถต้านทานชัยชนะของสงครามคอมมิวนิสต์ได้ ทั้งที่เวียดนาม กัมพูชา และลาว ตกอยู่ในฐานะของการเป็นโดมิโนสามตัวที่ล้มลงในปี 2518
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือผู้นำไทยสามารถพาประเทศให้รอดพ้นจากสงครามคอมมิวนิสต์มาได้
และผลเช่นนี้กลายเป็นปัจจัยเชิงบวกที่สำคัญต่อการลงทุนของต่างประเทศในช่วงทศวรรษของปี 2530
เพราะเสถียรภาพทางการเมืองในยุคหลังสงครามภายในทำให้ไทยกลายเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนจากภายนอก และเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในเวลาต่อมา
หากเปรียบเทียบในขณะนั้น เพื่อนบ้านในภูมิภาคล้วนประสบปัญหาภายในอย่างมาก เช่น ระบอบเผด็จการทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็น “คนป่วยแห่งภูมิภาค”
อินโดนีเซียก็ประสบปัญหาทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมากจากระบอบเผด็จการทหาร
ในขณะที่เมียนมาจมอยู่กับการปิดประเทศและความด้อยพัฒนาภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร
หรือประเทศสังคมนิยมในภูมิภาคพยายามหันกลับสู่เศรษฐกิจกิจแบบทุนนิยม และลดความเข้มข้นของการเมืองแบบอำนาจนิยมลง
แต่ไทยในขณะนั้นกลับเป็นดังช่วงเวลาของการ “ทะยานขึ้น” และเป็นหนึ่งในตัวแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองขณะนั้น
แต่หลังปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ก่อตัวขึ้นในปี 2548 จนเป็นชนวนที่นำไปสู่การยึดอำนาจในปี 2549 แล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาการเมืองไทยก็เข้าสู่วังวนของความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ และตามมาด้วยรัฐประหารในปี 2557
จนถึงวันนี้การเมืองไทยเป็นตัวแบบของความไร้เสถียรภาพ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยก็กลายเป็นความไม่ชัดเจนในตัวเอง เพราะผู้นำรัฐบาลทหารไม่แสดงสัญญาณของการถอยออกจากการเมือง เท่าๆ กับที่กองทัพยังคงมีบทบาททางการเมืองอย่างมาก
แม้จะมีคำสัญญาของผู้นำทหารที่จะประเทศกลับสู่การเลือกตั้ง แต่ก็เป็นเพียงคำสัญญาที่เลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จนคำสัญญากลายเป็นสัญญาณของความไม่แน่นอน
สภาวะเช่นนี้ไม่เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมสถานะของไทยในเวทีภูมิภาค ยิ่งประกอบกับบทบทบาทของรัฐบาลทหารในการละเมิดสิทธิมนุษยชน การใช้อำนาจทหารในการควบคุมเสรีภาพในด้านต่างๆ ตลอดจนการจับกุมผู้เห็นต่างทางการเมืองด้วยอำนาจพิเศษ ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในเวทีภูมิภาค
ในภาพรวมก็คือ สถานะของรัฐบาลทหารไทยในเวทีสากลเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ ผู้สนับสนุนรัฐประหารในไทยอาจจะมีข้อโต้แย้งอย่างใดก็ตาม แต่รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองนั้น เป็นรัฐบาลที่ประชาคมระหว่างประเทศไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ด้วย
รัฐบาลทหารที่กรุงเทพฯ ยุ่งอยู่กับการรวมอำนาจภายใน และมีความพยายามที่สำคัญในการขยายอำนาจไปสู่อนาคตด้วยกลวิธีทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจเผด็จการจนลืมไปว่ารัฐไทยอยู่ในประชาคมระหว่างประเทศ
และการยอมรับจากเวทีสากลเป็นปัจจัยสำคัญต่อสถานะและเกียรติภูมิของชาติ และระบอบอำนาจนิยมเป็น “สินค้าตกยุค” ที่ขายไม่ได้ในเวทีภายนอก
อีกนัยหนึ่งก็คือ ระบอบเผด็จการทหารแสวงหาความสนับสนุนได้ยาก เว้นแต่จะมีรัฐมหาอำนาจที่แสวงหาผลประโยชน์จากช่องว่างของการยอมรับทางการเมืองเช่นนี้ แทรกตัวเข้ามาเป็น “ผู้ค้ำจุน” เพราะระบอบทหารไม่มีทางไป เนื่องจากไม่เป็นที่ยอมรับ
เสียงที่รัฐบาลทหารไม่อยากได้ยิน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เสียงเตือนจากจาการ์ตาแม้จะมาจากสื่อ แต่ก็ละเลยไม่ได้ เพราะอาจมีรัฐบาลหลายประเทศก็คิดในทำนองนี้ แต่รอเวลาที่จะบอกความจริงว่า “พวกเขาไม่ต้องการให้หัวหน้ารัฐประหารเป็นผู้นำอาเซียน” เพราะถ้าไทยเป็นประธานอาเซียนก็เท่ากับส่งสัญญาณด้วยภาพลักษณ์เชิงลบว่า อาเซียนจะถูกนำโดยผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจ
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ความชอบธรรมของตัวอาเซียนเองจะอยู่ตรงไหน และถ้าเป็นจริง อาเซียนจะแสดงตัวตนในเวทีโลกอย่างไร เพราะประธานอาเซียนได้อำนาจมาด้วยการรัฐประหาร…
ถ้าอาเซียนมีประธานเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร อาเซียนก็หมดศักดิ์ศรี
แต่ถ้าอาเซียนไม่เลือกผู้นำรัฐบาลทหารไทย ประเทศไทยก็หมดศักดิ์ศรี เว้นเสียแต่จะต้องเกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองก่อนเพื่อให้เกิดรัฐบาลที่ชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
ดังเช่นเมื่อครั้งผู้นำเมียนมาขึ้นเป็นประธานอาเซียน… ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญหานี้เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
โจทย์ชุดนี้ละเอียดอ่อนและเดิมพันสูงด้วยเกียรติภูมิของอาเซียน และเกียรติภูมิของไทยพอกัน!