ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ตุลาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไปถึงโลกใหม่ในปี 1492 ชายวัยกลางคนจากเจนัว ชายวัยกลางคนผู้สามารถทำให้ราชสำนักคาสติลล์แห่งสเปนเห็นดีเห็นงามกับการมุ่งตะวันตกของเขา
ชายวัยกลางคนผู้หวังจะพบเส้นทางสู่จีน
ชายวัยกลางคนผู้คิดว่าชนพื้นเมืองที่เขาพบในโลกใหม่นั้นคือชาวอินเดีย
ชายวัยกลางคนผู้เปลี่ยนแปลงโลก การบริโภค เงินตรา และสิ่งเดิมๆ ให้หายสาบสูญไปตลอดกาล
อิริก ฮอบสบอม-Eric Hobsbawm นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวปาฐกถาที่เมืองเซวิลล์ ในปี 1992 ห้าร้อยปีหลังจากการเดินทางของโคลัมบัสว่า “เราไม่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์การเดินทางครั้งนี้ได้ เราทำได้แค่จดจำ หลงลืม หรือสร้างมันขึ้นใหม่เท่านั้นเอง คนที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกายามนี้ไม่ว่าจะสืบเชื้อสายมาจากคนพื้นถิ่น มาจากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ล้วนเป็นผลกระทบจากการเดินทางของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในครั้งนั้นทั้งสิ้น”
การนำม้ามาสู่โลกใหม่ของพวกตะวันตกทำให้พวกชนพื้นเมืองกลายเป็นศัตรูที่อ่อนด้อยทุกหนทาง
ความแข็งแกร่งของพาหนะ อาวุธที่ทันสมัย และความรู้สึกของผู้ปลดปล่อย ทำให้วัฒนธรรมและอารยธรรมของพวกตะวันตกมีชัยเหนืออารยธรรมดั้งเดิม
เป้าหมายหลักประการหนึ่งของการเดินทางคือการเผยแผ่ศาสนาและขยายอาณาจักรของพระเจ้าตามความประสงค์ของราชสำนักคาสติลล์ที่มีพระนางอิซาเบลล่าที่หนึ่งเป็นประธาน ทำให้ชนพื้นเมืองเหล่านั้นมีทางเลือกเพียงทางเดียวคือเข้าสู่การเป็นศาสนิกที่ดี หรือไม่ก็ถูกกำจัดให้หมดไป
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความต้องการสร้างศาสนจักรเช่นนั้นได้รับการปกป้องจากบาทหลวงเยซูอิตที่เดินทางมาในภายหลัง
แต่กระนั้นชนพื้นเมืองผู้บริสุทธิ์ก็ถูกสังหารไปเป็นจำนวนมากแล้วไม่ว่าจะเป็นในคอร์โดบาหรือในเม็กซิโกก็ตามที
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดประการหนึ่งในการค้นพบโลกใหม่ครั้งนั้นคือการที่ผู้มาอารยธรรมหาได้ประสงค์ที่จะเรียนรู้สิ่งใดจากผู้ที่อยู่ก่อนเลย
พวกเขามุ่งจะเผยแพร่ในสิ่งที่ตนเองมีแต่ไม่ปรารถนาจะรับในสิ่งที่แปลกปลอม
ความคิดที่ว่านี้ดำรงอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่อเมริกาเหนือจะประกาศตนเป็นดินแดนอิสระและเริ่มค้นคว้าหารากเหง้าดั้งเดิมในแผ่นดินของตน
ศิลปะ วิทยาการที่แทบจะสูญหายไปแล้วจึงได้รับการค้นพบ นำเสนอ และเชิดชูขึ้นในเวลาต่อมา
ช่วงระยะเวลาหลายร้อยปีนับจากการไปถึงของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ปรากฏเรื่องราวจำนวนมากมายที่ส่งผลถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่การนำเข้าของทาส หรือพืชพันธุ์จำนวนมากที่ทำให้สังคมตะวันตก
เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบริโภคในชีวิตประจำวัน (สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือยาสูบ ใบโคคาและมันสำปะหลัง)
การนำเข้าของวัตถุดิบจำนวนมากส่งผลต่อการแต่งกายและงานศิลปะของสังคมตะวันตก โดยเฉพาะโคคินีล-Cochineal แมลงตัวเล็กๆ ที่สามารถถูกนำมาผลิตเป็นสีแดงในแบบที่ตะวันตกไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เสื้อผ้าและภาพเขียนล้วนพึ่งพาสีแดงจากแมลงตัวเล็กๆ ตัวนี้และกลายเป็นสินค้าที่ปรารถนา
จนทำให้อังกฤษส่งโจรสลัดออกปล้นเรือที่มาจากโลกใหม่เพื่อหวังจะครอบครองแมลงดังกล่าวไว้เพียงผู้เดียว
ในแง่ของความมั่งคั่ง การปล้นชิงอาณาจักรแอซเทค-Aztec ของจักรพรรดิมองเตซูม่า-Montezuma ด้วยน้ำมือของ เฮอร์นัน คอร์เตซ-Hern?n Cort?s ทำให้สเปนได้ครอบครองทองคำในปริมาณมหาศาล
ความเชื่อของจักรพรรดิมองเตซูม่าที่ว่า คอร์เตซ อาจเป็นบุคคลที่ถูกส่งมาจากพระเจ้าตามตำนานทำให้อาณาจักรแอซเทคต้องล่มสลายลงด้วยน้ำมือของนักรบรับจ้างหรือพวก คอนควิสทาดอร์-Conquistador อันหยาบกร้าน
สเปนได้ทองคำในปริมาณมหาศาล พวกเขาส่งกลับไปยังดินแดนแม่และส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อมหาศาลในกาลต่อมา
เรื่องราวใหญ่เหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกจดจำและเอ่ยถึงบ่อยครั้งเมื่อเราพูดถึงการค้นพบโลกใหม่ ไม่นับการซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่คอนควิสทาดอร์อีกคนคือ ฟรังซิสโก้ ปิซาร์โร-Francisco Pizarro ถล่มอาณาจักรอินคา-Inca ของจักรพรรดิอตาฮวลปา-Atahualpa ที่เปรู ในอีกสิบปีถัดมาหลังจากเหตุการณ์ที่อาณาจักรแอซเทค อารยธรรมยิ่งใหญ่สองอารยธรรมถูกทำลายในช่วงเวลาเพียงสิบปี และเพียงสี่สิบปีหลังการเดินทางมาถึงของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส หากนับจากระบบครอบครัว มันเป็นเพียงชั่วหนึ่งอายุคนเท่านั้นเอง
ความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวในแบบฉบับที่ว่าได้บดบังรายละเอียดจำนวนมากจากความสนใจใคร่รู้ของสาธารณชนในเรื่องราวอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องราวของชีวิตประจำวัน พวกนักรบเหล่านี้ใช้ชีวิตกันเช่นไรในสังคมที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของโลกใหม่
พวกเขา กิน อยู่ หลับ นอน หรือมีเพศสัมพันธ์กันเช่นไร
โดยเฉพาะสำหรับบุคคลที่ไม่มีครอบครัว การแต่งงานอยู่กินข้ามเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา กระทำกันเช่นไร
โบสถ์หรืออารามแห่งแรกของศาสนจักรบนดินแดนโลกใหม่นั้นก่อสร้างด้วยวิธีการแบบใด และใครทำหน้าที่เจ้าอารามเป็นท่านแรก
ศาสนจักรใช้วิธีการสอนแบบไหนถึงเข้าถึงชนพื้นเมืองและผู้ที่ปฏิเสธความเชื่อเช่นนั้นมีกระบวนการไต่สวนแบบไหน
การขนส่งสินค้ากลับสู่โลกเก่าอีกเล่า พวกเขาใช้แรงงานทาสประเภทใดและมีวิธีรับมือโจรสลัดที่รอการปล้นชิงระหว่างทางแบบใดบ้าง
การแพทย์นั้นน่าสนใจเช่นกัน กามโรคและโรคระบาดที่ทยอยเกิดขึ้นได้รับการรักษาด้วยใครและวิธีการแบบไหน
การแปรรูปสินค้าอุตสาหกรรมให้กับตลาดขนาดใหญ่เป็นอีกสิ่งที่ไม่อาจละเลย
ใบยาสูบจากท้องทุ่งโล่งอันแห้งแล้งกลายเป็นบุหรี่สำหรับชาวยุโรปในอากาศหนาวเย็นด้วยวิธีใด
เรื่องราวรายละเอียดเหล่านี้มีความน่าสนใจไม่แพ้กันและอาจมากกว่าการจดจำเหตุการณ์ใหญ่ๆ แต่เพียงอย่างเดียว เพราะรายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อยุโรปหรือโลกเก่าอย่างมหาศาลในเวลาต่อมา
การเข้าใจวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในโลกใหม่คือการเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าการแบ่งแยกระหว่างวัฒนธรรมชั้นสูงที่เกิดในโลกเก่าและวัฒนธรรมสาธารณะหรือ Popular Culture ที่เกิดในสหรัฐ
คำว่า High Culture ถูกหมายถึงวัฒนธรรมของชาวยุโรปจนถึงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ โดยที่ชาวสหรัฐอยู่ในฐานะของผู้เสพวัฒนธรรมที่ว่าแต่เพียงถ่ายเดียว
การครอบงำทางวัฒนธรรมที่ว่าเห็นได้จากรางวัลสำคัญอย่างโนเบลไพรซ์ด้านวรรณกรรมที่ผลงานเขียนของนักเขียนสหรัฐเพิ่งได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกในทศวรรษที่สามศูนย์
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเขียนจากละตินอเมริกาที่เพิ่งมีโอกาสก้าวขึ้นแท่นรับรางวัลก็ในทศวรรษที่หกศูนย์นี้เอง ทั้งที่งานวรรณกรรมของสหรัฐเป็นที่แพร่หลายในโลกมากว่าร้อยห้าสิบปี และหากไม่คิดว่าการปฏิวัติในคิวบาและอิทธิพลของ เช กูวาร่า ที่ทำให้สังคมละตินอเมริกาได้รับความสนใจ นักเขียนจากละตินอเมริกาที่ตกอยู่ภายใต้ภาษาแม่จากโลกเก่าอย่างสเปนจะมีโอกาสได้ถูกจับจ้องหรือสนใจหรือไม่อย่างใดก็ตาม
บทความชุดนี้จะสำรวจเรื่องราวสามัญที่เกิดขึ้นในโลกใหม่
รวมถึงผลกระทบของมันต่อโลกปัจจุบันที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่าห้าร้อยปี
ทว่า การไล่เรียงดูสิ่งที่เกิดขึ้น และโยงยึด หรือย้อนทวนสิ่งที่ผ่านพ้นไปเพื่อนำมาสู่การใคร่ครวญในขณะนี้น่าจะทำให้เราได้ค้นพบหรือทบทวนสิ่งต่างๆ หลายสิ่ง
และสิ่งต่างๆ หลายสิ่งนั้นเองที่ยังคงมีชีวิตอยู่แม้ว่ามันจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปก็ตามที
1 เริ่มต้นที่เพศหญิง นักรบสตรีในคราบบุรุษนาม คาทาริน่า เด เอราโส่-Catalina de Erauso
คาทาริน่า เด เอราโส่ อาจเป็นนักรบรับจ้าง หรือ คอนควิสทาดอร์ คนเดียวที่ถูกจดจำในหมู่คอนควิสทาดอร์ผู้พิชิตจำนวนมาก
เรื่องราวของเธอถูกทำเป็นภาพยนตร์ ละครเวที หรือนวนิยาย ทั้งที่เธอไม่ได้พิชิตดินแดนใดเลย
หากแต่การปลอมตัวเป็นเพศชายและหลบหนีออกจากดินแดนบาสก์ทางเหนือของสเปนนั่นเองที่ทำให้เธอกลายเป็นตำนาน
คาทาริน่า เด เอราโส่ เกิดในปี 1585 ในเมืองซาน ซีบาสเตียน ในแคว้นบาสก์ เมื่อายุได้สี่ขวบ เธอถูกส่งเข้าไปประจำอยู่ในอารามนางชีโดมินิกันในเมืองซาน ซีบาสเตียน พร้อมด้วยพี่สาว
อารามแห่งนี้ป้าของเธอดำรงตำแหน่งเป็นแม่ชีชั้นผู้ใหญ่ หากแต่อุปนิสัยอันดื้อดึง แข็งกร้าวของเธอ ทำให้เธอถูกส่งตัวต่อไปยังอารามบาร์โทโลมิว
เธอพำนักอยู่ที่นั่นจนอายุได้สิบห้าปีก่อนจะพบว่าตนเองไม่มีความเชื่อทางศาสนาเลย เธอทะเลาะกับแม่ชีคนสำคัญคนหนึ่งในอารามและถูกคุมขังในห้องขังเดี่ยว
และแล้วในคืนวันที่ 18 มีนาคม ปี 1600 เธอพบกุญแจห้องขังถูกลืมทิ้งไว้ เธอตัดผม สวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายที่หาได้ และหลบหนีออกจากอารามไปสู่โลกกว้าง
ที่หมายถึงโลกใหม่ในอีกขอบมหาสมุทรหนึ่ง