วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย /เสถียร จันทิมาธร / เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว (153)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว (153)

คําไขอันมาจากเอี้ยก่วยที่ว่า ฝ่ามือ “กำสรดวิญญาณสลาย” เป็นวิชาฝีมือที่เอี้ยก่วยบัญญัติคิดค้นขึ้นเอง สร้างความกระตือรือร้น คึกคักอย่างยิ่งยวดให้กับจิวแป๊ะทง
ถึงกับกล่าว “กำลังคิดขอรับทราบดู”
พลางสะบัดฝ่ามือเข้าหายังคงใช้ออกด้วยแขนซ้าย เอี้ยก่วยเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับมองไม่เห็น ฟาดฝ่ามือใส่เบื้องบนศีรษะตัวเอง ฝ่ามือฟาดเฉียงลงพลันฝ่ามือกลับกลายเป็นรูปโค้งกระจายออกไปรอบด้าน
เพียงประสบจิวแป๊ะทงก็ทราบว่า ฝ่ามือนี้ปานประหนึ่งท้องโพยมครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างไพศาล ไม่สามารถที่จะหลบหลีกได้รอดพ้น
จึงยกฝ่ามือต้านรับ
เสียงฉาดเมื่อฝ่ามือทั้ง 2 ข้างปะทะกัน อดส่ายร่างโงนเงนคราหนึ่งมิได้ เข้าใจว่าตัวเองชะล่าใจไป หาทราบไม่ว่า พลังฝีมือของเขาแม้ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ามือเปรียบเทียบต่อฝ่ามือด้วยกันกลับไม่กล้าแข็งแกร่งกร้าวเท่ากับพลังฝ่ามือของเอี้ยก่วย
แทนที่จะหงุดหงิดไม่พอใจ จิวแป๊ะทงระบายลมหายใจอันขัดข้องอยู่ภายในอกออกพลางโห่ร้องชมเชย
“ประเสริฐ นี่มีหัวข้ออย่างไร”

คําถามนี้สะท้อนความจริงใจใคร่รู้ของจิวแป๊ะทงออกมาอย่างไม่ปิดบังอำพราง นี่คือความลุ่มหลงในวิชาฝีมือโดยแท้
คำตอบอันมาจากเอี้ยก่วยก็คือ
“นี่เรียกว่า ‘วิตกทุกข์ร้อนเกินเหตุ’ (กีนั้งอิวเทียน)” พร้อมกับสำทับเตือน “กระบวนท่าต่อไปคือ ‘เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว’ (บ้อตังแซอู๋)”
จิวแป๊ะทงหัวเราะฮิฮะ
เห็นว่าชื่อกระบวนท่า “เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว” นี้ ทั้งให้ความรู้สึกประหลาดพิกล ทั้งแฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน คล้ายกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนอย่างเอี้ยก่วยจะนึกออกได้
ดังนั้น จึงสะอึกเข้าหาใหม่
พลันเอี้ยก่วยลดแขนลง ประหนึ่งไม่ตั้งท่าตระเตรียมป้องกันแม้แต่น้อย รอจนกระบวนท่าหมัดจากจิวแป๊ะทงอยู่ห่างจากเนื้อตัวเพียงนิ้วเศษ จึงเคลื่อนไหวทั้งมือทั้งเท้า
ซ้ายฝ่ามือ ขวาแขนเสื้อ ขยับ 2 เท้าพุ่งศีรษะเข้าชน
เด่นชัดว่าแม้กระทั่งส่วนอื่นของร่างอันได้แก่ ทรวงอก หลัง ไหล่ ล้วนแปรออกเป็นกระบวนท่า แทบไม่มีส่วนใดจะไม่รุกเข้ากระหน่ำใส่ปรปักษ์
ที่น่าจับตามองกลับเป็นจิวแป๊ะทงว่าจะสนองรับต่อกระบวนท่าของเอี้ยก่วยอย่างไร

จิวแป๊ะทงแม้ระวังป้องกันแต่แรกว่า เอี้ยก่วยต้องมีท่าไม้ตาย แต่คาดคิดไม่ถึงว่ามันจะโถมจู่โจมตลอดทั้งร่าง
พริบตานั้นปรากฏ 10 กว่ากระบวนท่าจู่โจมถึงโดยพร้อมเพรียง
ที่ว่ากระบวนท่า “เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว” มีเพียงท่าเดียว แต่แฝงกระบวนท่าตามหลังมาอีก 10 กว่าอย่างต่อเนื่องราวกับระลอกคลื่นในมหาสมุทร
ต่อให้จิวแป๊ะทงมีภูมิความรู้ลึกล้ำไพศาลก็ยังวุ่นวายจนมือไม้ปั่นป่วน
จิวแป๊ะทง ความจริงลดแขนซ้ายออกมิได้ใช้ออกยามนี้ย่อมมิอาจไม่ยกขึ้นปิดป้อง จำเป็นต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง จึงค่อยต้านทานรับเพลงฝ่ามือ “เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว” ได้
แต่ไม่มีปัญหาตีโต้กระบวนท่ากลับ


ในที่สุด นับว่าปิดป้องต้านทานหมดสิ้น รีบพุ่งถอยไปด้านหลังวาเศษ ป้องกันด้วยกริ่งเกรงว่าเอี้ยก่วยจะมีกระบวนท่าประหลาดล้ำตามออกมาอีก
“จิวเล่าเอี้ยจื้อ ท่านใช้ทั้ง 2 มือยังไม่เพียงพอ ทางที่ดีมีมือเพิ่มขึ้นอีกข้างหนึ่ง”
เป็นเสียงจากก๊วยเซียงหวังสร้างการกดดันและความอึดอัดให้กับจิวแป๊ะทงอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เก็บรับเอามาเป็นอารมณ์นัก
“เด็กหญิงน้อย เจ้าเปรียบเปรยเราเป็นมือ 3 มือหรือ”
ไม่ว่าจิวแป๊ะทงจะใช้ออกกี่มือต้านรับ แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเอี้ยก่วยเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะสามารถคลี่คลายกระบวนท่าที่มันจู่โจมโหมใส่ได้จนหมดสิ้น
โดยเฉพาะ 10 กว่ากระบวนท่าจาก “เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว”

เพียงปล่อยออกมา 2 กระบวนท่า นั่นก็คือ 1 วิตกทุกข์ร้อนเกินเหตุ และ 1 เสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว ก็เท่ากับเป็นเงาสะท้อนในทางความคิดของเอี้ยก่วยว่าเป็นเช่นใด
ถามว่าที่วิตกทุกข์ร้อนเนื่องจากปัจจัยใด
ถามว่าเมื่อวิตกทุกข์ร้อนแล้วมีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวออกมาอย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการ
เหมือนกับทุกเรื่องราวเป็นการปล่อยตาม “อารมณ์” แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น