ทวีปที่สาบสูญ “แม้สักน้อยหนึ่ง”

ปิมปาตัวสั่นสะท้านเมื่อพายุพัดผ่านไปอีกครั้ง เด็กผมขอดใจเต้นรัวแรงจนนึกเวทนา

ดึงให้เข้ามาใกล้ จูบเบาให้ที่หน้าผาก ปากฉันพูดออกไปว่า

“ขวัญเอ๋ย ขวัญมา”

เหงื่อมีรสเค็มจางๆ ติดเข้ามาในปากในลิ้น แต่ถ้าผ่านวันนี้ไปฉันก็อาจจะลืมมัน ดังนั้น ฉันควรจะต้องหาวิธีจำมัน…บ้าง

“พี่ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมพญาพรมรำพันถึงคนเคยนอนนัก”

“อะไรหรือคะ”

เด็กผมขอดยังซุกซบกับอกอยู่

“พญาพรมจ้ะ เป็นกวีโบราณบ้านเรา พี่เคยอ่านคำค่าวรำพัน เค้าเขียนถึงคนรักที่จากไป มีแต่คำเพราะๆ เต็มไปหมด”

เหล่านั้นคือหนังสือของพ่อแม่

“ปิมไม่เคยอ่าน”

“แน่ละซี” ฉันจูบแก้ม ทำราวตัวเองแสนรักใคร่ “อย่างปิมคงรู้จักแต่…ผีเสื้อปีกบาง เจ้ากางปีกสวย ฝากบอกเขาด้วย คิดถึงเขาจัง”

และนั่นคือกลอนที่ฉันเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่ง

แปลกดี ที่ยังจดจำมันไว้

หรือนี่แหละตัวฉัน หัวใจยังบันทึกไว้เสียทุกสิ่งอัน เว้นแต่การร่วมสะลีที่นอนกับใครๆ

ไม่ใช่ทุกคนที่ฉันควรต้องจดจำไว้

แต่นั่นเอง…ไม่ว่ามันจะย้อนแย้งกันหรือไม่ อีกใจ กับบางคน ก็นึกอยากจะลองเลือกจำ

“พี่นี่!”

ทำเหมือนจะผละออก ฉันจึงต้องทำเหมือนรีบรั้งไว้

บางที นี่ก็คืออีกบทละครแสดง เราต่างกำลังแข่งขันกันอยู่

“ไม่สนใจหรือ พี่ว่าหนูปิมน่าจะฟังไว้นะ”

“…ก็ได้ค่ะ”

“งั้นฟังนะ”

ขยับตัวเอนหลังพิงผนัง กอดญาติผู้น้องไว้ในอก ฉันเปิดปากท่องคำค่าวกวี

“กำจ๋าหอม เปียงรสดอกไม้ ยามบิดจากขวั้นมาดม

กำฟู่เก๊า เงื่อนเหง้าปฐม บ่สมสักราย สูนหายกว่าจ้อย

กึ้ดหาไหน บ่มีสักหน้อย ของบ่มีป๊อยรู้

มาละตังผัว ไปหนัวตังจู๊ ใจ๋หลิ่งหลู้ตวยไป”

“แปลว่าอะไรคะ”

“เขาบอกว่า…คำรักหอมหวานเหมือนกลิ่นดอกไม้

เคยปลิดจากขั้วมาดม

แล้วพลันสูญหาย คำร่ายปฐม

ละลายเป็นลม อยู่ไหนไม่รู้

มาทอดทิ้งผัวไปเกลือกกลั้วชู้

ใจโอนอ่อนตามคนอื่นไป”

…เหมือนหมู่ไม้ เมื่อลมตี๋ไกว๋ มาไหวหวั่นเฟือน กระเทือนจุ๊ด้าน…

หลอนไหวแต่ใบ บ่ไหวกิ่งก้าน ก็ปอยังแควนบ่ฮ้าย

บ่ปอเสียใจ๋ สะดุ้งฟุ้งย้าย นี้ไหวรากขึ้นเถิงใบ…

“เหมือนมวลหมู่ไม้ถูกลมพัดไหว

ไกวแกว่งป่วนเฟือนกระเทือนทุกด้าน

หากพลิ้วแค่ใบ ไม่ไหวถึงก้าน

ยังพอค่อยทำใจ

แต่นี่สะท้อนต้นสั่นคลอนไหว

จากรากจรดใบ

ทำใจไม่ได้”

“เพราะจังเลยค่ะ…”

“พ่อพี่ชอบอ่านให้แม่ฟังด้วยนะ”

“หรือคะ แปลกจัง”

“หือ แปลกยังไง?”

“เป็นคำตัดพ้อของคนเลิกกันไม่ใช่หรือคะ ทำไมเอามาอ่านให้ฟังกันล่ะ”

ฉันนิ่งอึ้งไป กับการช่างสังเกตของคนอายุน้อยกว่า

“คงเพราะไม่อยากให้จากไปไหนนะสิ ถึงต้องยกคำค่าวมาท่องให้ฟัง จะได้จำไว้”

“เอ๊ะ!”

เด็กผมขอดยืดตัวขึ้น จ้องหน้า “งั้นที่ให้ปิมฟัง หมายความว่า…”

“ไม่มีอะไร” ฉันทำเป็นเปลี่ยนไปเรื่องอื่นเสีย

“ฟังตอนนี้ดีกว่า”

…กันว่าเป๋นจู๊ นอกเนื้อป๋ายใจ๋ เต๋มหนีจากไป บ่น้อยบ่ให้

เมียคิ่นเตียมใจ๋ จักหาไหนได้ ป๊อยไก๋มือไปขอกฟ้า

สังบ่กึ้ดใจ๋ เมื่อเก๊าซ้อนง้า นอนร่วมผ้าผืนเดียว

เมาะม่อยเนื้อ เจยจมก๋มเกี๋ยว จ๋าหยอกเคียว ซาบซุบจูบแก้ม…

“หากเป็นเพียงชู้คู่นอนจะไม่

ร่ำหาอาลัยครวญคิด

…แต่เป็นเมียนวลคู่ขวัญชีวิต

เคยนอนซ้อนผ้าผืนเดียว

เนื้อเคยแนบเนื้อ

อุ่นซ่านหวานเสียว

เชยชมกลมเกลียว

จูบคางจูบแก้ม”

 

เด็กผมขอดยังซุกแขนกอดเอวฉันไว้ หัวซุกอยู่ในอก หนังขายยายังไม่เลิก คืนนี้ยังมีเวลาอีกมากมาย

ฉันท่องคำค่าวที่จำไว้อีก

…พี่ขดตั๋ว เข้าปิงเอื้อมแอ้ม ถานามือนวดนิ้ว

พี่จูบติ๋นผม นายดมหว่างกิ๊ว บ่จ๋าโขดกิ้วยินดี

เดิ้กเตี่ยงฟ้า ข้อนรุ่งรวายถี หมอกเหมยธานี ตกลงย้อยกล้วย

เดือนยี่สี่สาม ทะลามหนาวด้วย พี่แป๋งคิงตวยเบียดยัด

เอาแขนซ้อนแขน ซะแกงรวบรัด สองอืดอ้อนนอนปิง…

“พี่รุกเข้าข้าง หวังนอนอ้อนแอ้ม

ขอใช้นิ้วนวดเนินนม

น้องจูบหน้าผาก พี่จูบไรผม

กระซิบชื่นชม แช่มชื่นเหลือดี

เที่ยงคืนดื่นดึก ใกล้รุ่งแล้วถี

หมอกเย็นมากมี เหยาะหยดรดกล้วย”

“ทำไมหมอกต้องหยดใส่กล้วยละคะ”

“หึ สมัยนั้นมีแต่ต้นกล้วยละมั้ง”

ฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่า “กล้วย” แต่ไม่คิดจะอธิบายไป เด็กผมขอดกลับทำหน้าพอใจ

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ฉันจูบหนักๆ ที่กระหม่อมเด็กโง่ กึ่งสบประมาท กึ่งเอ็นดู โธ่เอ๋ย ตัวใช่จะรู้เดียงสา ปากว่าเข้าใจ แท้ไม่รู้อะไรสักอย่าง

“ฟังต่อนะ มีตรงนี้พี่ชอบที่สุด”

“ค่ะ”

…หนาวซะต๊าน เมื่อยามระติ๋ง เมาะม่อยคิง เอาแก้มก่ายแก้ม

มือเบื้องขวา น้าวคิงมาแอ้ม แขนซ้ายสอดคอนอน

รักตอบรัก บ่มายถอยถอน สองวิงวอน เซื้อมซ้อนจูบแก้ม

…ซุบซาบกั๋น ว่าขดมาแอ้ม หนาวเย็นคิงสั่นเนื้อ

สองรักกั๋น ไฝ่ฟั่นฟักเฟื้อ ตั๊ดที่ห้องหอใน

…สองพี่น้อง ไถ่ถ้องผาไส จ๋าเยาะใย ลูบกำเนื้อเล่น

ฟู่กันหนัว หัวใจตื่นเต้น เจ้าสีวันเย็นน้องบ่กึ้ด…

“ราตรีเหน็บหนาว กายก่ายซุกซบ

แก้มพบแก้มแนบกัน

เหนี่ยวนอนหนุนแขน แนบแน่นกระสัน

จุมพิตพัวพัน ฟั่นเกลียวเกี่ยวใจ

ผัวบอกกับเมีย อย่าห่างไปไหน

หนาวเนื้อเมื่อไกล มาซบซ้อนชิด

…ทั้งสองรักกัน ปรนเปรอ อุทิศ

ณ ห้องแคบน้อยมืดใน

ทั้งสองพี่น้อง โอภาปราศรัย

ต่างคลึงเคล้าไป อกใจไหวเต้น…”

 

“พี่จะทำอะไรอีกคะ…หนังใกล้เลิกแล้วนะคะ”

เด็กผมขอดไหวตัวอีกหน

“พี่อยากรู้…แบบนี้ ฟังนะ พี่จะแต่งต่อให้”

ฉันจะใช้ตัวฉันเป็นเชือกฟั่นสายหนึ่ง

“…ถ้าสองพี่น้อง โอภาปราศรัย ต่างคลึงเคล้าไป อกใจไหวเต้น

ในซอกดอกไม้ จะไหวลู่เร้น หรือกลีบคลี่บานแตกใบ

เกสรซ่อนลึก รู้สึกเพียงไหน

ม่านน้อยหอใน หยาดน้ำค้างย้อย…

ให้พี่จูบชม จันทร์สมสายสร้อย ปิมปาเด็กน้อยคนดี

ดึกฤดูหนาว ดาวยังส่องสี บุปผามาลี ควรคลี่อีกครั้ง”

อาจมีเพียงเสียงครางใกล้หู ที่ทำให้ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อ…อีกวันต่อวัน ก็เพียงรู้สึกอย่างนั้น ขณะท่องบทคำค่าวแสนหวาน โดยปราศจากความต้องการของตัวเอง แม้สักน้อยหนึ่ง