วิเคราะห์ : คสช. รุ่นสุดท้าย กับศึกเลือกตั้ง ถอดรหัส ‘วปอ.’ 61 ‘ผู้กองมนัส-เสี่ยหนู’ กับศึกขุนพลอีสาน และศึกทุ่งดอนเมือง

รายงานพิเศษ

 

คสช. รุ่นสุดท้าย กับศึกเลือกตั้ง

ถอดรหัส ‘วปอ.’ 61

‘ผู้กองมนัส-เสี่ยหนู’

กับศึกขุนพลอีสาน

และศึกทุ่งดอนเมือง

 

ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ และมีกลีบกุหลาบโรยทาง เย้ายวนชวนให้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ลงสู่สนามการเมือง
ไม่ใช่แค่ผลการเสี่ยงเซียมซีได้เลข 12 ที่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ครั้งลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร ที่ได้คำmeนายดีๆ ดวงดีแค่นั้น
แต่อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อดีตโหร คมช. และอาจารย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังทำนายทายทักว่า ฐานบุญยังดีอยู่ และจะต้องกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยด้วย
แถมทั้งลงพื้นที่ไม่ว่าภาคไหน ชาวบ้านก็จะแห่กันมาต้อนรับและเชียร์ให้เป็นนายกฯ ไปนานๆ แม้แต่การลงพื้นที่ กทม. ก็ตาม

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ไม่แค่นั้น ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ ที่ทหารทำมาอย่างเป็นทางการแบบเงียบๆ ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งมั่นใจในเส้นทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส.ลดลงไปครึ่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นผลจากเรื่องระบบการเลือกตั้ง ส.ส.และปาร์ตี้ลิสต์ด้วย
พร้อมๆ กันนั้น ทิศทางของพรรคพลังประชารัฐ มีแนวโน้มที่ดี ทั้งในแง่ที่นักการเมืองสนใจที่จะเข้าพรรค ส่วนประชาชนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ สนับสนุนการรัฐประหาร และต่อต้านระบอบทักษิณ ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคนี้ และหนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ
ด้วยเพราะเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้แรงสนับสนุนพิเศษให้บริหารประเทศต่อไป หรือที่เรียกกันว่า ได้ไฟเขียว
เหล่านี้จะเป็นข้อมูลให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ในการตัดสินอนาคตทางการเมืองของตนเอง ที่จะประกาศต่อประชาชนคนไทยในเดือนกันยายนนี้
ที่เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์พร้อมที่จะทำงานต่อ หากประชาชนและพรรคการเมืองสนับสนุน แต่อาจจะไม่ประกาศตัวว่าจะเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคการเมืองใด

 

พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ

แม้จะเป็นการมองโลกในแง่ดี โลกสวย หรือข้อมูลผลสำรวจมีความน่าเชื่อถือเพียงใด หรือถูกประชาชนแสร้งหลอกว่าเป็นกองหนุนหรือไม่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ที่เชื่อกันว่า ไม่มีทางเปลี่ยนใจไปจาก “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” และพรรคเพื่อไทย
แต่ คสช.ก็ระมัดระวังอยู่เสมอว่า อดีต ส.ส.หรือนักการเมืองจะพาเหรดเข้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เชื่อกันว่าเป็นพรรคทหาร พรรค คสช.นั้น อาจมีวาระซ่อนเร้น เช่น เข้ามาเพื่อมาเป็น “งูเห่า” ในอนาคต
แต่ในภาพรวม คสช.พอใจกับทิศทางทางการเมือง หลังปฏิบัติการ “ดูด” ได้ผล เพราะอดีต ส.ส.และนักการเมืองเชื่อกันว่า บิ๊กตู่มี “พลังพิเศษ” หนุนหลัง
โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ที่มีการใช้เรื่องคดีความต่างๆ มากดดันให้อดีต ส.ส.ย้ายพรรคมาอยู่กับพรรคทหารด้วย
ยิ่งในภาคอีสาน ที่ไม่ใช่แค่ทหารลูกอีสานในพื้นที่ลงพื้นที่พบปะทำความเข้าใจกับชาวบ้านทุกวัน ต่อเนื่องมา 4 ปี แถมเอางบประมาณโครงการต่างๆ ลงไปให้ จนมาถึงโครงการไทยนิยม ที่มีงบฯ มหาศาล
ที่สำคัญคือ แม่ทัพนายกองลงพื้นที่ด้วยตนเองมาตลอด โดยเฉพาะ 2 บิ๊กทหารน้องรักของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ทั้งบิ๊กแบล๊ค พล.ท.ธรากร ธรรมวินทร แม่ทัพภาคที่ 2 และบิ๊กสน พล.ท.สนธยา ศรีเจริญ แม่ทัพน้อยที่ 2 ที่ช่วยกันมาตลอด 4 ปี ตั้งแต่ยังเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 กันอยู่
ทั้งคู่ก็เติบโตมาในสายของบิ๊กเยิ้ม พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ และสนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร

พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน

โดยเฉพาะ พล.ท.ธรากร ที่เกิดในค่ายจักรพงษ์ ปราจีนบุรี โดยที่บิดาเป็นลูกน้องของ พล.อ.ประวิตร และเห็น พล.อ.ประวิตรมาตั้งแต่เด็กๆ
จนเชื่อกันว่า ในการโยกย้ายครั้งนี้ พล.ท.ธรากรจะได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อเป็นปีที่ 2 เพื่อที่จะเป็นแม่ทัพคุมอีสานสู้ศึกเลือกตั้ง เพราะเขามาอยู่อีสานตั้งแต่เป็นนายทหารหนุ่มๆ จนกลายเป็นคนอีสานไปแล้ว และรู้จักบรรดาอดีต ส.ส.นักการเมืองในพื้นที่ จนทำให้ พล.อ.ประวิตรเชื่อมั่นว่า บิ๊กแบล๊คเอาอยู่
แต่กระนั้นก็ตาม พล.ท.สนธยา รุ่นน้อง ตท.19 ก็หายใจรดต้นคอ รอที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ จนทำให้เกิดข่าวสะพัดเรื่องการดัน พล.ท.สนธยาขึ้นแม่ทัพภาคที่ 2 เลย แล้วส่ง พล.ท.ธรากรขึ้นพลเอก ใน บก.ทบ. หรือ บก.ทัพไทย
ด้วยเพราะ พล.ท.สนธยาก็เป็นน้องรักอีกคนของ พล.อ.ประวิตร และมีผลงานในการเดินสายเจรจานักการเมืองให้ร่วมมือกับ คสช. ในการเดินหน้าประเทศมาอย่างต่อเนื่อง

พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี

ท่ามกลางกระแสการดูดอดีต ส.ส.เข้าพรรคทหาร จนมีการนัดแนะไปพบ พล.อ.ประวิตรที่บ้าน ร.1 รอ. มาแล้ว แต่ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้ชี้แจงตอบโต้ใดๆ กับข่าวนี้ นอกจากบอกว่า “ถ้าไปหาผมที่บ้าน ไม่มี”
ตราบใดที่โผโยกย้ายทหารยังไม่ประกาศออกมา ก็ยังคงมีข่าวสะพัดในแดนอีสานว่า พล.ท.สนธยาแซงโค้งสุดท้าย ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 แต่สายข่าวใน ทบ. ยังคงระบุว่า พล.ท.ธรากรยังคงเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อ
ด้วยเพราะเดิมพันของ คสช.ในการเลือกตั้งครั้งนี้สูง เพราะหากพ่ายแพ้ คือการ “เสียของ” และหมายถึง 4 ปีที่ทำมาสูญเปล่า
ทุกองคาพยพของ คสช. จึงช่วยทำศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่

แม้แต่ในภาคเหนือ ฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทยนั้น ก็มีข่าวหนาหูว่า ตระกูลบูรณุปกรณ์ ก็ถูกดูดแล้ว หรือแม้แต่ผู้กองนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เล่นการเมืองท้องถิ่นในพะเยาบ้านเกิด ที่เดิมจะลงสมัคร ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย แต่ที่สุดก็ถูกขอร้องเชิงถูกบีบให้มาช่วยพรรคพลังประชารัฐ

ด้วยศักยภาพและทุนของ ร.อ.ธรรมนัส ทำให้บิ๊กๆ ใน คสช. ขอให้เขามาช่วยพรรค ในการดึงอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยให้มาอยู่พรรคพลังประชารัฐให้ได้มากที่สุด และให้ช่วยสู้ศึกเลือกตั้งด้วย
จึงทำให้ ร.อ.ธรรมนัสเลือกที่จะไม่ลงสมัคร ส.ส. แต่จะช่วยพรรคพลังประชารัฐอยู่เบื้องหลัง
ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า การที่ถูกมีชื่อพาดพิงเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในช่วงนี้ ก็เป็นการบีบให้เขาเปลี่ยนขั้วด้วย รวมไปถึงการให้เข้าเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 61 ที่จะเรียนในตุลาคมปีนี้
หลักสูตร วปอ. หลักสูตรที่สร้างซูเปอร์คอนเน็กชั่น ที่ต้องวิ่งเต้นในการเรียนกับบิ๊กทหาร ตำรวจ ข้าราชการ

พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์

แม้จะมาในนามของนักธุรกิจ ประธานบริษัทธรรมนัส กรุ๊ป แต่ทว่าภาพของ ร.อ.ธรรมนัส ก็คือนักการเมืองผู้กว้างขวางด้วย
แถมทั้งเรียนรุ่นเดียวกับเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่มาในนามของนักธุรกิจ ที่เชื่อกันว่าจะเป็นกองหนุนของ คสช. และร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐในอนาคต

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะออกตัวไว้แล้วว่า การแต่งตั้งโยกย้ายทหารครั้งนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องวางตัว ผบ.เหล่าทัพไว้เป็นฐานอำนาจ แต่ทว่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ รวมทั้งแม่ทัพนายกองชุดใหม่นี้ จะต้องทำหน้าที่ดูแลกองทัพให้เป็นกองหนุนที่ไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่คัมแบ๊กมาเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง
เพราะหากมีกองทัพหนุนหลัง ก็จะทำให้เก้าอี้นายกฯ และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ในเวลานั้นมั่นคง และไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะถูกปฏิวัติรัฐประหาร
ดังนั้น 5 ผู้นำกองทัพใหม่ ทั้งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รองปลัดกลาโหม ลูกรักของ พล.อ.ประวิตร ที่คาดว่าจะขึ้นมาเป็นปลัดกลาโหมคนใหม่ และมีอายุราชการถึงกันยายน 2564
บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี เสธ.ทหาร ที่คาดว่าจะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2563

พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์

บิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ รอง ผบ.ทร. ที่คาดว่าจะเป็น ผบ.ทร.คนใหม่ ที่เกษียณกันยายน 2563 และบิ๊กต่าย พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผช.ผบ.ทอ. ที่คาดว่าจะเป็น ผบ.ทอ.คนใหม่
และโดยเฉพาะบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผช.ผบ.ทบ. ที่คาดว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2563 นั้น จะเป็นกองหนุนสำคัญในฐานะน้องรักสายวงศ์เทวัญของบิ๊กตู่
เพราะเมื่อขึ้นมาเป็น ผบ.เหล่าทัพ แผงอำนาจใหม่พร้อมกัน 1 ตุลาคมนี้ ก็จะต้องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิก คสช. ส่วน พล.อ.อภิรัชต์จะเป็นเลขาธิการ คสช. โดยตำแหน่งของ ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ของ คสช. ที่คุมกำลังทหารทุกเหล่าทัพหมดอีกด้วย แถมด้วยการมีสถานภาพพิเศษของ พล.อ.อภิรัชต์

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์

โดยที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ไว้วางใจ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยการตั้งเป็น รอง ผบ.กกล.รส.ของ คสช. และเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการของ คสช. เพื่อเตรียมตัวมาแล้วอีกด้วย
จึงจะเป็น คสช.ชุดสุดท้าย ก่อนที่จะมีเลือกตั้ง และจะต้องดูแลสถานการณ์ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ที่ คสช.ก็จะสลายตัวไป

แต่ทว่าก่อนที่จะถึงการเลือกตั้ง ก่อนจะถึงวันนั้น คสช.ชุดสุดท้ายนี้คงได้เจอกับสิ่งท้าทาย โดยเฉพาะบทบาทของกองทัพ ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง แต่ทว่ากลับต้องเป็นสมาชิก คสช. ที่ถูกมองว่า คสช.ตั้งพรรคเพื่อสืบทอดอำนาจทางการเมือง

พล.ท.ธนากร ธรรมวินทร

ขณะที่ทุ่งดอนเมืองกำลังร้อนระอุ เพราะแม้บิ๊กจอม พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. จะยืนยันเสนอชื่อ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ เป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ แม้จะเหลืออายุราชการแค่กันยายน 2562 ก็ตาม
แต่กระแสข่าวก็ยังสะพัดแรงว่า บิ๊กโหน่ง พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์ ผช.ผบ.ทอ. จะแซงโค้งสุดท้าย ด้วยพลังของการเป็นน้องรักของ พล.อ.ประวิตร และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
แต่ พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ก็มีอายุราชการปีเดียว เหมือน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ใหญ่จะไม่ให้ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.
จนร่ำลือกันว่า พล.อ.อ.จอม เด้ง 2 บิ๊ก ทอ. ออกนอกทัพฟ้า คือส่งออก พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ ให้กลับ บก.ทัพไทย เป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด จากที่เคยเป็นรอง เสธ.ทหาร มาก่อน แต่มีข่าวว่า มีการต่อรองที่จะเป็นรอง ผบ.ทอ. รอเกษียณพร้อม พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ และมีการวางตัวบิ๊กยาว พล.อ.อ.วันชัย นุชเกษม เสธ.ทอ. ให้เป็น ผบ.ทอ.คนต่อไป

พล.ท.สนธยา ศรีเจริญ

รวมถึงการดันบิ๊กหมู พล.อ.อ.ปรเมศร์ เกษโกวิท ผบ.คปอ. แคนดิเดต ผบ.ทอ. อีกคน ข้ามไปเป็นรองปลัดกลาโหม ตัดออกจากการชิงเก้าอี้ ผบ.ทอ. ในอนาคต เพราะเขาเกษียณกันยายน 2563 เท่า พล.อ.อ.วันชัย โดยทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อน ตท.18
จนทำให้ชาวทุ่งดอนเมืองได้กลิ่นวันวานของทุ่งดอนเมืองกำลังหวนกลับมา จากศึกชิง ผบ.ทอ. ของเพื่อน ตท.18 ด้วยกันเอง
ศึกชิงเก้าอี้ ผบ.เหล่าทัพ ที่จะได้เป็น คสช.รุ่นสุดท้าย จึงยังคงเข้มข้น
ตราบใดที่โผยังไม่ประกาศออกมา ความหวังก็ยังไม่สิ้น ความพยายามและกระแสข่าวต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่ตราบนั้น