ขอบคุณข้อมูลจาก | ชายตาหาข้าวเปลือก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 ก.ค. 59 |
---|---|
เผยแพร่ |
ฉันไม่คิดว่าวันนี้มันจะมาถึง ระหว่างฉันกับญี่ปุ่น!!
ประเทศที่ฉันรักและมีความสุขทุกครั้งที่ไปเยือน
อาหารญี่ปุ่นที่ชื่นชอบ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ใฝ่ฝันที่จะกินถึงดินแดนเจ้าถิ่น
มาวันนี้….ทุกอย่างระหว่างเรามันเปลี่ยนไปแล้ว
การเดินทางมาญี่ปุ่นล่าสุดของฉันมีจุดประสงค์เพื่อจะมากิน “ซูชิ” ร้านดังๆ ฉันหลงรักการกินซูชิมานานแสนนาน โดยเฉพาะการกินแบบ Omakaze (โอมากาเซะ) แบบที่เชฟจะทำให้เราเอง แล้วร้านเทพๆ ในญี่ปุ่นทั้งแบบได้มิชลินสตาร์หรือไม่ดาวก็ตาม ถ้าเชฟเทพ กว่าจะจองได้บางทีเป็นปี
ที่สำคัญญี่ปุ่นมีปัญหาด้านการสื่อสาร บางร้านไม่รับนักท่องเที่ยวเลยก็มี บางร้านใช้ระบบลูกค้าเก่าจะได้จองก่อน แล้วคิดดูลูกค้าใหม่ชาติไหนจะได้กิน บางคนอาจเสนอว่างั้นจองมันล่วงหน้า 3 เดือนไปเลยสิ ไม่ได้ค่ะ เขาไม่รับจอง!
เพราะมันกินยากกินเย็นแบบนี้สิคะ มันทำให้เราต้องตามล่ามันให้ได้ มันท้าทาย มันตื่นเต้น ที่นั่งก็มีไม่เกิน 10 ที่ การที่เราได้นั่งเป็น 1 ในนั้นมันช่างเป็นผู้ชนะเหลือเกิน!
การจองร้านซูชิเทพเหล่านี้จึงต้องใช้คนญี่ปุ่นจองบ้าง โรงแรมระดับ 5 ดาวที่เราไปพักจองให้บ้าง หรือบริษัทรับจองที่ให้บริการลูกค้าวีไอพีจองบ้าง
เมื่อมันมีช่องว่างระหว่างร้านกับลูกค้า มันจึงเกิดเว็บไซต์รับจองร้านหรือบริการของประเทศต่างๆ ที่ปัญหาด้านภาษาในการสื่อสารกับลูกค้าขึ้นมา
ฉันไปเจอเว็บนี้โดยบังเอิญจากการ google อ่านข้อมูลร้านซูชิเทพๆ เหล่านี้ไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นและสนุกสนานในการจองร้านที่อยากกินจึงเกิดขึ้น
ฉันเห็นวันเวลาที่ว่างในตาราง ฉันก็จองใหญ่เลย ปรากฏว่าไม่กี่วันต่อมา ทางเว็บบอกว่ายังรับจองให้ไม่ได้ ต้องล่วงหน้าประมาณ 30-40 วันเท่านั้น คราวนี้ฉันก็นับวันรอว่าจะถึงวันจองได้แล้วหรือยัง ถึงขั้นจดใส่ปฏิทินในมือถือทีเดียว
เราต้องส่งอี-เมลไปมากันหลายรอบ ทั้งมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลา ทั้งการตอบรับและปฏิเสธ เรียกว่าวันๆ นั่งรอลุ้นเมลจากอีบริษัทนี้อย่างเดียว แล้วเขาก็จะคิดค่าบริการไปถ้าอันไหนจองสำเร็จ
ในทริปนี้ ฉันไม่สามารถแพลนไปไหนได้ก่อนเลย เพราะต้องรอวันเวลาจากร้านซูชิว่าได้วันไหน เวลาไหนบ้าง แล้วถึงจะแพลนจองโรงแรมและเดินทางไปไหนมาไหนได้
สรุปว่าฉันจองได้ 3 ร้านด้วยกัน และ 1 ในนั้นคือร้านของลูกคุณลุงจิโร่ คุณลุงที่มีคนทำสารคดีแกออกมาและโด่งดังเหลือเกิน
ก่อนไปฉันประกาศกับคนรอบตัวว่า จะไปกินซูชิให้อ้วกแตกเลย!!!
วันไปกินร้านแรก วันนั้นฉันกินอาหาร ขนม ไอศกรีมตามรายทางไปประมาณ 10 อย่าง และไปกินซูชิอีก 20 กว่าคำ!!! เลยคำว่าอิ่มคืออะไรช่วยบอกหน่อย!!
วันรุ่งขึ้นนัดอีกร้านไว้ คราวนี้ได้คิวประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ฉันชอบร้านนี้มากกว่าร้านแรก เชฟยิ้มแย้มน่ารักกว่าด้วย กินไป 20 กว่าคำ เชฟถามว่าอิ่มหรือยัง ถ้า 100% ตอนนี้อิ่มเท่าไหร่ ฉันบอก “150%” เชฟบอกอีก 3 คำนะ ก็กินเข้าไปไม่ให้เชฟเสียน้ำใจ
กินเสร็จตอน 4 ทุ่มครึ่ง! แม่เจ้าจะนอนยังไงคะ ออกจากร้านใช้วิธีเดินกลับไปโรงแรมเลย นั่งรถไม่ไหว ต้องเดิน อยู่เฉยๆ มีอ้วกแน่ เดินโซซัดโซเซออกจากร้านไป หลงทางก็ดีใจ เพราะจะได้มีเวลาเดินนานขึ้น
พอถึงโรงแรมกว่าจะได้นอน เกือบตี 2 ค่ะ!!
วันรุ่งขึ้นเว้นการกินไป 1 วัน แต่ตลอดวันนั้นอาการไม่ค่อยจะดี ท้องแน่นๆ อืดๆ กินอะไรไม่ค่อยลง ตกเย็นเริ่มจะมีไข้ ทำท่าเหมือนจะป่วย ตอนค่ำท้องบวมอืดเป่งมาก พะอืดพะอมอยากจะอ้วก
คิดเรื่องซูชิตลอดว่าทำอย่างไรดี ต้องกินร้านลูกจิโร่ตอนกลางวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้แค่เห็นปลาก็อ้วกพุ่งได้ทันที
คืนนั้นพยายามลงในไลน์กลุ่มเพื่อนต่างๆ ลงในเฟซบุ๊ก ถามว่าใครมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงอยู่โตเกียวจะเอาคิวนี้ไหมจะยกให้ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะโดนยึดค่าจองไป ปรากฏหาใครไม่ได้เลย
ตอนเช้าตื่นมาดูอาการตัวเองอีกครั้ง ตอบแบบไม่เสียดายเงินคือ “หัวเด็ดตีนขาดวันนี้ก็จะไม่กินซูชิ!!” เลยโทร.ไปบริษัทที่จองว่าไปไม่ไหวจริงๆ เราป่วย แต่เมื่อคืนเราก็ส่งอี-เมลไปแจ้งเขาทีหนึ่งแล้ว เขาเลยริบเงินจองไปเป็นเงินไทยประมาณ 4,000 บาท
และหลังจากวันนั้นเราไม่อยากกินปลาอีกเลยแม้จะย่างหรือทอดมาก็ตาม ยิ่งเป็นซาซิมิ ซูชิ ยิ่งบอกลากันเลย
ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตจะมีวันนี้ วันที่เราเบื่อสิ่งที่ชอบมากที่สุด วันที่เราปฏิเสธร้านที่อยากกินที่สุดทั้งๆ ที่เฝ้ารอมานาน
นี่จึงเป็นบทเรียนราคาแพงของฉันว่า อะไรที่มันมากเกินไป อะไรที่มันเกินพอดี มันจึงเป็นเช่นนี้แล…