อนุสรณ์ ติปยานนท์ – ครึ่งหนึ่งของชีวิต : เด็กหญิงมาลีและเจ้าชายน้อย

อนุสรณ์ ติปยานนท์ – ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอนที่ 5 “เด็กหญิงมาลีและเจ้าชายน้อย”

เด็กหญิงคนหนึ่งมีนามว่ามาลี

โดยปกติเด็กหญิงที่มีนามว่ามาลีมักจะชอบเลี้ยงหรือชอบเล่นกับลูกแมวเหมียว

แต่เด็กหญิงมาลีผู้นี้กลับไม่สนใจในสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวเอาเลย

ว่าไปแล้วเด็กหญิงมาลีไม่เคยสนใจสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากกุหลาบ

เธอไม่เคยเล่นกับหมาบนท้องถนน

เธอไม่เคยนอนมองดูนกบนท้องฟ้า

เธอไม่เคยเอามือหย่อนลงไปในน้ำเพื่อเล่นกับฝูงปลา

เธอไม่เคยและไม่เคยในอีกหลายอย่างที่เด็กวัยเดียวกันกระทำแบบนั้นเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับสัตว์

มาลีสนใจแต่กุหลาบ

มาลีเพาะต้นกุหลาบ และมาลีก็เฝ้ารอแต่การเบ่งบานของดอกกุหลาบที่งอกงามด้วยน้ำมือเธอ

แต่เด็กหญิงมาลีไม่เคยได้เห็นดอกกุหลาบที่งอกงามด้วยน้ำมือเธอเลย

ต้นกุหลาบทุกต้นที่เธอปลูกไม่เคยออกดอกเลยแม้สักครั้ง

ทุกต้นงอกงาม เติบโต บางต้นโตใหญ่กว่าเด็กหญิงมาลีด้วยซ้ำไป

แต่ต้นกุหลาบที่สมบูรณ์ งดงาม ต้นกุหลาบที่มีใบเขียวสดและดูเย็นตาเหล่านั้น กลับไม่เคยออกดอกเลยแม้แต่ดอกเดียว

เด็กหญิงมาลีศึกษากระบวนการที่จะทำให้ต้นกุหลาบออกดอกอย่างละเอียด

เธอค้นหาข้อมูลที่ว่าจากทั้งห้องสมุด จากในสื่อต่างๆ จากผู้คน จากนักปลูกดอกกุหลาบทุกคนที่เธอรู้จัก

เธอได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย

ทุกข้อมูลมีประโยชน์ ดูเหมือนจะใช้การได้จริง

แต่ทุกครั้งที่เธอใช้วิธีเหล่านั้นปลูกดอกกุหลาบ

ผลลัพธ์ที่เธอได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

ต้นกุหลาบของเธอยังงอกงามต่อไป แต่เป็นการงอกงามที่ไม่ติดตามมาด้วยดอกกุหลาบ

ไม่เคยมีดอกกุหลาบดอกใดผลิออกมาจากต้นกุหลาบของเด็กหญิงมาลี

 

เด็กหญิงมาลีขบคิดต่อปัญหาเรื่องนี้ เธอคิดถึงคำพูดโบราณที่ว่า มีคนบางคนเป็นคนมือเย็นที่ปลูกต้นไม้ชนิดใดก็งอกงาม

และมีคนบางคนเป็นคนมือร้อนที่ปลูกต้นไม้ชนิดใดก็เหี่ยวแห้งเฉาตาย

แต่ต้นกุหลาบของเธอไม่ได้ตาย เพียงแต่มันไม่ออกดอกเท่านั้นเอง

ดังนั้น เธอเป็นคนประเภทใดกันเล่า

เธอมีมือแบบไหนกันเล่า เย็นเฉพาะกับต้นไม้ แต่ร้อนกับดอกไม้ กระนั้นหรือ

เด็กหญิงมาลีขบคิดถึงเรื่องเหล่านี้และก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระเต็มที มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้แน่ เพียงแต่ว่าเธอยังไม่ค้นพบสาเหตุของมัน

เด็กหญิงมาลีคิดว่าสาเหตุดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับว่าทำไมฝนจึงไม่ตกทั้งที่อากาศก็ร้อนอบอ้าวเต็มที

หรือทำไมรถบนท้องถนนจึงไม่หายติดขัดทั้งที่ผู้คนก็ยากจนลง

เหตุผลที่กุหลาบของเธอไม่ออกดอกต้องอยู่ในกลุ่มเหตุผลแบบนี้คือมีบางอย่างที่ลี้ลับ

อธิบายไม่ได้แฝงอยู่ในกระบวนการที่นำไปสู่การออกดอกของต้นกุหลาบ อาจมีคนแคระตัวน้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในดินและคอยทำหมันต้นกุหลาบของเธอในขณะที่เธอหลับ

หรืออาจมีแมลงที่ไม่รู้จักชื่อแอบบินมาปล่อยสารพิษให้ต้นกุหลาบของเธอสูญสิ้นความสามารถในการแพร่พันธุ์

เด็กหญิงมาลีคิดว่านั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว

และหน้าที่ของเธอคือการตามหาคำอธิบายที่ผิดแผก แตกต่าง และไม่สมเหตุสมผลดังคำอธิบายที่มีอยู่ในนิทานเหล่านี้

 

เด็กหญิงมาลีพบนิทานหลายเรื่องที่ดูคล้ายจะอธิบายเหตุผลของต้นกุหลาบที่ไม่อาจออกดอกได้ของเธอ

นิทานเรื่องเจ้าหญิงนิทราทำให้เธอคิดว่าต้นกุหลาบของเธอถูกสาปให้นอนหลับสนิทอยู่และมีแต่จุมพิตของเจ้าชายเท่านั้นที่จะปลุกต้นกุหลาบให้ออกดอกได้

แต่เธอจะหาเจ้าชายจากที่ใด

คิดเช่นนั้นแล้วเด็กหญิงมาลีก็ถอนใจ ไม่เป็นไร เธอพูดกับตนเอง ต้องมีคำตอบอื่นในนิทานเรื่องอื่น

เธอเริ่มต้นอ่านนิทานอีกหลายเรื่องและแล้วเธอก็คิดว่านิทานหญิงสาวที่ทุกคนพบเห็นเธอแล้วกลายเป็นหินน่าจะเป็นคำตอบ

ต้นไม้ใดที่ได้รับสัมผัสจากเธอจะไม่ออกดอก แต่นั่นก็ไม่จริง พ้นจากดอกกุหลาบแล้ว เด็กหญิงเคยสัมผัสต้นต้อยติ่งริมทางเดินไปโรงเรียนบ่อยครั้ง เธอลูบคลำดอกสีม่วงของต้นต้อยติ่งอย่างเบาๆ ก่อนจะพบว่าไม่ช้านานต้นต้อยติ่งต้นนั้นก็ออกดอกอีกอย่างสม่ำเสมอ

มันต้องมีเหตุผลอื่น

ฉันต้องหาเหตุผลนั้นได้ในที่สุด สิ่งที่ฉันต้องรอมีแต่เพียงเวลาเท่านั้นเอง

ในที่สุดเด็กหญิงมาลีก็ไม่พบคำตอบใดๆ เธอเทียบเคียงเรื่องราวในนิทานต่างๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่าก่อนจะพบว่าคำตอบทั้งหลายเป็นเพียงการทึกทักขึ้นเองของเธอ

อย่างไรก็ตาม ในหนังสือทั้งหมดนั้น เธอได้พบกับเจ้าชายคนหนึ่ง เป็นเจ้าชายตัวน้อยที่มีปัญหากับดอกกุหลาบเช่นกัน

เพียงแต่ปัญหาของเขาแตกต่างไปจากเธอ

 

เจ้าชายตัวน้อยผู้นั้นมีดอกกุหลาบส่วนตัวอยู่หนึ่งดอกที่เอาแต่ใจ เจ้าชายตัวน้อยได้เม็ดดอกกุหลาบมา เขาปลูกมันเป็นต้นกุหลาบ และในที่สุดต้นกุหลาบก็ออกดอก เป็นดอกกุหลาบที่เบ่งบานและสวยงามอย่างยิ่ง

แต่ก็คล้ายกับหลายสิ่งที่เมื่อคิดว่าตนเองสวยงาม ความเย่อหยิ่งย่อมตามมา

ดอกกุหลาบของเจ้าชายตัวน้อยสั่งให้เจ้าชายตัวน้อยทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่หยุดหย่อน

“เธอต้องป้องกันฉันจากแสงแดดนะ”

“เธอต้องป้องกันฉันจากสายลมนะ”

ดอกกุหลาบออกคำสั่งแบบที่ว่านั้นอยู่เสมอจนในที่สุดเจ้าชายตัวน้อยก็สิ้นความอดทน

เขาหนีดอกกุหลาบไปยังดินแดนอื่นเพื่อแสวงหามิตรใหม่หรือใครสักคนที่จะคบหาเขาโดยไม่มีข้อเรียกร้องมากมายเช่นนั้น

ในดินแดนหนึ่งเขามีโอกาสได้พบกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด

เจ้าชายตัวน้อยอยากผูกมิตรกับสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นก็อยากผูกมิตรกับเจ้าชายตัวน้อย

สุนัขจิ้งจอกพูดกับเจ้าชายตัวน้อยว่า “เธอช่วยทำให้ฉันเชื่องและคุ้นเคยกับเธอได้ไหม?”

เจ้าชายน้อยตอบสุนัขจิ้งจอกว่าอะไรคือการทำให้เธอเชื่อง ฉันไม่เคยรู้จักอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย”

ครั้นแล้วสุนัขจิ้งจอกก็สอนเจ้าชายน้อยให้รู้จักวิธีผูกมิตร วิธีคบหากับผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ วิธีรักษาน้ำใจ วิธีดูแล วิธีที่ใช้ห่วงใยผู้อื่น เจ้าชายน้อยฟังวิธีเหล่านั้นแล้วจึงพูดว่า

“ถ้าฉันสามารถทำให้เธอเชื่องได้ ฉันก็ไม่อาจอยู่กับเธอได้นาน ฉันมีดาวของฉัน มีดอกกุหลาบของฉันที่ทำให้ฉันต้องจากเธอไป”

สุนัขจิ้งจอกบอกกับเจ้าชายน้อยเพียงว่า “ฉันรู้ดีว่าเธอต้องจากไป แต่นั่นเป็นสิ่งดี เพราะมันจะทำให้ทุ่งข้าวสาลีที่ฉันได้เห็นมีความหมายขึ้น”

เจ้าชายน้อยไม่อาจเข้าใจในเหตุผลที่ว่านั้นได้ สุนัขจิ้งจอกจึงอธิบายว่า

“ฉันไม่กินขนมปัง ดังนั้น ข้าวสาลีจึงไม่มีความหมายต่อฉัน ทุกครั้งที่ฉันมองเห็นทุ่งข้าวสาลี ฉันจึงรู้สึกเงียบเหงาในใจที่ฉันไม่อาจเชื่อมโยงผูกพันกับมันได้ แต่เส้นผมของเธอที่มีสีทองอร่ามดังทุ่งข้าวสาลีจะทำให้ฉันมองทุ่งข้าวสาลีอย่างมีความหมายนักจากนี้แม้ว่าเธอจะจากไปก็ตาม ลองนึกภาพว่าถ้าเธอทำฉันให้เชื่องและเราได้เป็นเพื่อนกัน สีทองของทุ่งข้าวสาลีจะเป็นดังตัวแทนของเธอ และฉันจะมีความสุขที่ได้เห็นสายลมพัดผ่านทุ่งข้าวสาลีจนเอนไหวไม่ต่างจากเส้นผมของเธอยามต้องสายลม”

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนั้นเอง ทั้งเจ้าชายตัวน้อยและสุนัขจิ้งจอกผู้ชาญฉลาดก็เริ่มผูกมิตรกัน และแล้ววันที่เจ้าชายน้อยต้องจากสุนัขจิ้งจอกไปก็มาถึง

สุนัขจิ้งจอกบอกว่า “มันกำลังจะร้องไห้ให้กับการจากลาครั้งนี้”

“เป็นความผิดของเธอ” เจ้าชายตัวน้อยพูด “ถ้าเธอไม่ปล่อยให้ฉันทำเธอให้เชื่องและเราได้คุ้นเคยกันแล้วละก็ เธอคงไม่เศร้าในการจากลาของเรา”

“เป็นความผิดของฉันเอง” สุนัขจิ้งจอกกล่าว “ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่ผูกมิตรกับเธอตั้งแต่แรก”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีความหมายที่จะให้กับทุ่งข้าวสาลีแล้ว ตอนนี้ฉันอยากให้เธอกลับไปหาดอกกุหลาบของเธอและบอกฉันว่าเธอเห็นอะไรบ้างจากดอกกุหลาบนั้น และกลับมาบอกฉันอีกครั้งหนึ่ง”

เจ้าชายตัวน้อยเดินทางกลับไปที่ดาวของตน

เขาพบกับดอกกุหลาบของเขาและเขาพบอีกว่าทำไมเขาถึงทนดอกกุหลาบดอกนั้นไม่ได้

นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดที่จะผูกมิตรกับดอกกุหลาบดอกนั้นเลย

เขาไม่เคยคิดที่จะทำให้ดอกกุหลาบดอกนั้นเชื่องลงเลย

เจ้าชายน้อยจึงเริ่มต้นดูแลดอกกุหลาบดอกนั้นอย่างดี

เขาพรวนดิน รดน้ำ เอามันหลบจากแดด กำจัดแมลงให้มัน เขาฟังเสียงกลีบของมันขยับตัว หรือแม้กระทั่งฟังเสียงของมันยามที่มันหลับใหล

และแล้วเขาก็คิดว่าได้เวลาแล้วที่เขาควรกลับไปอำลาสุนัขจิ้งจอก

เจ้าชายน้อยจึงกลับไปพบกับสุนัขจิ้งจอกอีกครั้ง เขากล่าวกับสุนัขจิ้งจอกว่า “ลาก่อน” “ลาก่อนเช่นกัน” สุนัขจิ้งจอกตอบ

“ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะบอกความลับหนึ่งให้แก่เธอ เป็นความลับที่สามัญธรรมดามาก ความลับที่ว่านั้นคือ สิ่งสำคัญทั้งหลายในโลกนี้ต้องมองด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งที่สำคัญทั้งหลายในโลกนี้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา”

เจ้าชายตัวน้อยเก็บเอาความลับนั้นไว้และมันเป็นความลับที่ทรงคุณค่า เพราะเมื่อเด็กหญิงมาลีอ่านพบมัน เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอเองได้พบสาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใดต้นกุหลาบของเธอไม่เคยออกดอกเลย

นั่นเป็นเพราะว่าเธอมีแต่ความคาดหวังว่าต้นกุหลาบของเธอจะต้องมีดอกที่จับต้องได้ ทั้งที่ทุกครั้งที่ต้นกุหลาบเติบโต ดอกกุหลาบที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาก็เบ่งบานอยู่ในหัวใจของเธอแต่เธอกลับละเลยมัน

เด็กหญิงมาลีเริ่มต้นปลูกกุหลาบอีกครั้ง เธอเลือกกระถางที่เธอชื่นชอบ ดินที่เธอเชื่อว่าดีต่อกุหลาบ เธอรดน้ำพรวนดิน และไม่คาดหวังสิ่งใด และอย่างที่เราทุกคนจะรู้ในผลลัพธ์ของเรื่องนี้

ดอกกุหลาบของเด็กหญิงมาลีโผล่พ้นออกจากต้นในเวลาต่อมา มันเป็นดอกกุหลาบที่งดงามที่สุด