ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
ที่จริงฝ่ายเถรวาทก็พูดถึงพระพุทธะจำนวนมากมาย มีระบุพระนามไว้ตั้ง 28 องค์ และมีในภัทรกัป หรือยุคนี้ 5 พระองค์
แม้จะมีการพูดถึงพระพุทธะมากมายไม่ต่างกับฝ่ายมหายาน กระนั้นในฝ่ายเถรวาท ก็ถือว่าพระพุทธะนั้นมีลักษณะแบบมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ในขณะที่ฝ่ายมหายานเน้นว่า พุทธะนั้นมีลักษณะแบบ “สภาวะ” มากกว่า
ฝ่ายมหายานที่เริ่มต้นในอินเดียเต็มไปด้วยหลักคิดที่เป็นนามธรรม พัฒนาจนไปสู่แนวคิดที่ซับซ้อน หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดของฝ่ายมหายานคือ “ศูนยตา” หรือ “ความว่าง”
“ความว่าง” นี้เองที่ทางฝ่ายมหายานนับถือว่าเกี่ยวข้องกับ “ความเป็นพุทธะ” อย่างยิ่ง
คำสอนเรื่องศูนยตาปรากฏในพระสูตรมหายานหมวด “ปรัชญาปารมิตา” อันมีความหมายว่า “ปัญญาบารมี”
ปัญญาบารมีนี้เป็นบารมีสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่การตรัสรู้ โดยผนวกเข้ากับมหากรุณา
ในบรรดาพระสูตรเรื่องปรัชญาปารมิตา “พระวัชรปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” (ฝรั่งนิยมเรียกสั้นๆ ว่า Heart Sutra) นับว่าแพร่หลายที่สุด เพราะมีความยาวไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ พระภิกษุฝ่ายมหายานในทุกประเทศจึงนิยมใช้สวดท่องทำวัตรและพิธีกรรมต่างๆ
แม้จะยาวเพียงหน้ากระดาษเดียวแต่ลึกซึ้งยิ่งนัก นับถือกันว่าหากเข้าใจถ้อยความในพระสูตรนี้ ก็อาจลุถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
ตํานานต้นพระสูตรเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเถระเจ้า (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาแบบเถรวาทหรือมโนทัศน์แบบหีนยาน) ถามพระพุทธองค์ว่า จะบำเพ็ญปัญญาบารมีอย่างไร
พระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบ ทรงเข้าสมาธิแล้วให้พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (สัญลักษณ์แห่งความกรุณาของพระพุทธะทั้งหลาย) เป็นผู้แสดงธรรมแทน
พูดแบบถอดสมการวรรณกรรมคือ ปัญญา (แบบหีนยาน คือมีหลักการที่ยึดไว้อย่างถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลง) ถามความเป็นพุทธะว่า ปัญญาบารมีคืออะไร แต่พุทธะให้ “กรุณา หรือความรัก” ตอบว่าปัญญาคืออะไร
ให้ความรักตอบเรื่องปัญญานี่น่าสนใจมากๆ ครับ
พระอวโลกิเตศวรได้ตอบสิ่งชวนฉงายฉงน โดยการเริ่มต้นว่า “รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป” และไล่เรียงเรื่อยไปว่า ขันธ์ 5 ก็คือความว่าง หมวดธรรมต่างๆ ที่เราเคยเรียนมา ไม่ว่าอะไรก็ตามล้วนเป็นความว่าง และเพราะทุกสิ่งเป็นความว่าง จึงไม่มีแม้แต่พระนิพพานหรือสังสารวัฏ
และเมื่อเข้าใจความว่างแล้วจึงปราศจากความวิปลาสและความกลัว เข้าถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สุดท้ายพระอวโลกิเตศวรได้มอบมนตร์แห่งปรัชญาปารมิตาว่า “คเต คเต ปรคเต ปารสังคเต โพธิ สวาหะ!” (ไป! ไป! ข้ามไปยังฝั่งโน้น ฝั่งโพธิ สวาหะ!)
ตํานานฝ่ายมหายานบางฉบับเล่าว่า พระภิกษุบางพวกได้ฟังพระธรรมคำสอนเรื่องนี้ถึงกับตกใจสิ้นสมปฤดี จนถึงตายก็มี เพราะไม่อาจรับคำสอนเช่นนี้ได้
ด้วยความสั้นกระชับแต่กินความไว้มาก จึงมีผู้อรรถาธิบายแนวคิดเรื่องความว่างไว้มากหลากแนว
แนวทางหนึ่งที่นิยมและดูจะสอดคล้องกับมติของฝ่ายเถรวาท คือ ความว่างในที่นี้มิได้แปลว่าปราศจากอะไรโดยสิ้นเชิง เพราะจะกลายเป็น “อุจเฉททิฏฐิ” คือเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ แต่จะอธิบายว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่แน่นอนไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิอีกแบบ
แนวนี้อธิบายว่า ก็เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่มี “ตัวมันเอง” ดำรงอยู่โดยไม่ประกอบจากสิ่งอื่น ดังนั้น มันจึง “ว่าง” เพราะมันย่อมประกอบด้วยสิ่งอื่นนั่นเอง
แต่ผมจะไม่เข้าไปในข้อถกเถียงทางปรัชญาในเรื่องนี้มากนัก
ส่วนอีกแนวที่ผมชอบมากและเพิ่งได้เคยได้ยินได้ฟัง มาจากการตีความของวิจักขณ์ พานิช (เจ้าเก่า) ซึ่งอธิบายว่า ที่จริงแล้ว “ว่าง” ในที่นี้ คือว่างจากการกำหนดความหมายที่เราตั้งไว้ล่วงหน้า
เพราะความหมายเหล่านี้เองที่เราจะนำไปครอบทับ เบี่ยงเบนหรือชี้นำประสบการณ์ที่สดใหม่ของเรา
ความหมายของคำและแนวคิดทางศาสนา เช่น นิพพาน สังสารวัฏ การบรรลุ ความสุข ความทุกข์ ขันธ์ห้า ฌานสมาบัติ ฯลฯ ที่เราพยายามกอดความหมายที่ตายตัวไว้อย่างมั่นคง จนละเลยประสบการณ์จริงๆ หากไม่ตรงกับกรอบที่เรากำหนดไว้แต่แรก
ความว่างในที่นี้คือการตัดผ่านกรอบคิดอันตายตัวเหล่านั้นไปสู่ความเปิดกว้างอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือการปล่อยให้เกิดพื้นที่ “ว่าง” นั่นเอง
คำถามต่อมาคือ หากปราศจากการกำหนดนิยามหรือกรอบเกณฑ์แล้ว เราจะปฏิบัติหรือจะเดินไปในเส้นทางของเราอย่างไร
วิจักขณ์บอก พระสูตรนี้จึงใช้คำว่า “หัวใจ” (หฤทัย) ไง (นักวิชาการคิดว่า คำ “หัวใจ” หมายถึง เป็นแบบ “ย่อ” หรือสรุปใจความของพระสูตร แต่มิตรของผมตีความมากกว่านั้น) เมื่อเราละทิ้งความหมายหรือปัญญาในเชิงความคิดแล้ว เราจึงต้องปล่อยให้หัวใจหรือความรู้สึกนำทางเราไป
ในพระสูตรจึงไม่ได้บอกว่าเราต้องทำอะไร แต่พระอวโลกิเตศวรผู้เป็นความกรุณาของพุทธะทั้งหลายได้เพียงมอบถ้อยคำให้กำลังใจแก่เราในท้ายพระสูตรว่า “จงไปเถอะ จงไปเถอะ ไปฝั่งโน้นเถอะ ไปสู่ โพธิ (จิต) เถอะ เย่! (สวาหะ)” เพื่อให้เราภาวนาไว้ในใจของเราเสมอ
ปัญญาบารมีจึงเป็นเรื่องความกล้าหาญที่จะละทิ้งกรอบเกณฑ์ไปสู่การเปิดพื้นที่ “ว่าง” ของใจ เพื่อให้ประสบการณ์ทั้งหลายได้ผุดพลุ่งขึ้นและเรียนรู้มัน
ดังคำพูดของครูบาอาจารย์ว่า ความว่างเป็นที่เกิดของสิ่งทั้งหลาย หากปราศจากความว่างเสียแล้วสิ่งทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้น
นี่คือการเปลี่ยนไปสู่ความเป็น “มหายาน” ในความหมายของการใช้มิติทางอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าความคิดเพราะมหายานเน้นความกรุณาซึ่งมิใช่เรื่องทางความคิด
ไม่ว่าการตีความของมิตรสหายท่านนี้ของผมจะผิดหรือไม่ก็ตาม แต่ความล้ำเลิศแห่งพระสูตรนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์มาอย่างยาวนานนับพันปี
ถึงกับนับถือเป็นบุคลาธิษฐานว่า ปรัชญาปารมิตานั้น คือ “พระพุทธมารดา”
เพราะคำสอนเรื่องความว่างนี้ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ในบทสวดมนต์ของฝ่ายเซนนั้น เมื่อจะสวดถึงสายธรรมของเซนก็จะเริ่มต้นที่พุทธมารดาปรัชญาปารมิตาก่อนคณาจารย์ต่างๆ เพราะพระปรัชญาปารมิตาเป็น “ต้นธาตุต้นธรรม” อย่างแท้จริง
ส่วนปรัชญาปารมิตาฉบับที่ Edward Conze เป็นผู้แปล (ฉบับนี้เป็นฉบับที่อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เคารพมาก เพราะนอกจากความรู้ของผู้แปลแล้ว ผู้แปลยังมีศรัทธาลึกซึ้งต่อคัมภีร์นี้) ก็ขึ้นต้นด้วยการนมัสการ พระปรัชญาปารมิตา
ผู้ที่ศึกษาทางโบราณคดี คงคุ้นเคยกับประติมากรรมปรัชญาปารมิตาในศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งแพร่หลายมากในสมัยกษัตริย์ชัยวรมันที่ 7
ในสมัยนั้นมักปรากฏรูปเคารพชัยวรมันในแบบพุทธะและพระโพธิสัตว์หลากลักษณะ แต่ที่น่าสนใจคือ มีการสลักรูปพระราชมารดาของพระองค์ในแบบพระปรัชญาปารมิตาด้วย
ไม่ว่าชัยวรมันจะทำรูปเคารพเหล่านี้ด้วยเหตุผลทางการเมืองเรื่องศาสนาหรือไม่ แต่การรู้เรื่องนี้ก็ทำให้ผมคิดถึงแม่ของตนเองอย่างมาก
ผมเดาเอาเองแบบโรแมนติกว่า สำหรับชัยวรมันนั้น หากท่านเชื่อว่าตัวเองคือนิรมาณกายของพุทธะ มารดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูของท่านย่อมต้องเป็นนิรมาณกายของปรัชญาปารมิตาด้วย
สำหรับผมก็เช่นเดียวกัน แม้จะยังไม่เห็นตนเองเป็นพุทธะในบัดนี้หรือจะอีกกี่อสงไขย แต่หากวันใดที่ผมได้เข้าใจธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องความว่าง “ไม่มีไป ไม่มีมา, ไม่มีเกิด ไม่มีดับ” ผ่านการมีชีวิตอยู่และการจากไปของแม่ (ซึ่งผมยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้)
แม่ย่อมจะเป็นนิรมาณกายพุทธมารดาปรัชญาปารมี (ของผม) อย่างแน่แท้