เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / คอกีฬาฮาเฮ

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

คอกีฬาฮาเฮ

ช่วงนี้ใครเปิดหน้าจอทีวีก็คงจะเห็นถึงความเคลื่อนไหวทางด้านกีฬาถี่สักหน่อย
เพราะเข้าสู่โหมดโปรแกรมกีฬาระดับชาติและนานาชาติอีกครั้ง ดังนั้น จึงได้จั่วหัวเรื่องว่า “คอกีฬาฮาเฮ”
ในท่ามกลางการแข่งขันชิงผู้ชมทางหน้าจอของทีวีดิจิตอล รายการประเภทถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเป็นแม่เหล็กอย่างดีที่จะดึงผู้ชมให้ตามติดหน้าจอเพื่อเรียกเรตติ้ง ยิ่งถ้าหากเป็นประเภทกีฬาที่ได้รับความนิยมก็จะยิ่งมีเรตติ้งในตัวเลขที่สูง
ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ที่คอบอลเมืองนอกได้คึกคักขึ้นมา หลังจากที่อดหลับอดนอนจากมหกรรมฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ก็ได้พักผ่อนไปสักระยะ คราวนี้ปี่กลองเชิดฉิ่งดังเรียกแฟนๆ ให้จับจ้องหน้าจอเชียร์ฟุตบอลลีกระดับโลกทั้งหลายกัน
ไม่ว่าจะเป็นลีกยอดนิยมของคนไทยอย่าง พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ หรือจะเป็นบุนเดสลีก้าของเยอรมนี กัลโช่ เซเรียอาของอิตาลี ลาลีก้าลีกของสเปน ก็เริ่มบรรเลงเพลงเตะกันแล้ว
ที่สนุกในสายตาของคอกีฬาฟุตบอลคือ มีหลายทีมที่ได้โค้ชใหม่ จึงต้องจับตาดูว่าโค้ชใหม่เหล่านี้จะพาทีมเปลี่ยนสู่ความสำเร็จได้มากขึ้นหรือไม่เพียงใด

ตามมาคือการเปลี่ยนตัวนักเตะ ทั้งขายออกและซื้อมา ความสนุกคือนักเตะใหม่ๆ ของทีมที่ซื้อเข้ามานั้นจะสร้างผลงานกับทีมได้ดีแค่ไหน ซึ่งนักเตะหลายคนที่สโมสรทุ่มเงินแย่งตัวกันมานั้น ก็เป็นผลพวงมาจากการได้โชว์ฝีมือสะเด็ดสะเด่าในฟุตบอลโลกที่ผ่านมานั่นเอง
ฟุตบอลโลกที่รัสเซียจึงเปรียบเหมือนโชว์รูมของนักเตะ ที่จะได้อวดฝีเท้าของตัวเองให้เอเย่นต์และสโมสรต่างๆ ได้เห็น และน้ำลายไหลคิดคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้
สำหรับนักเตะชื่อดังที่ย้ายทีมใหม่ที่ถูกจับตามากที่สุดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เห็นจะเป็น “คริสเตียโน โรนัลโด” ที่ย้ายจากทีมใหญ่ในสเปนอย่างเรอัล มาดริด หลังจากค้าแข้งอยู่ถึง 6 ปี มาสู่เวทีกัลโช่ เซเรียอา กับทีม “จูเวนตุส”
เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของนักเตะวัย 33 ปีผู้นี้ ที่คอบอลเฝ้าติดตาม

นอกจากฟุตบอลลีกดังๆ ที่กล่าวถึงไปแล้ว คอกีฬายังได้สนุกกับการร่วมลุ้นนักกีฬาไทยไปกับกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย หรือในชื่อ จาการ์ตา ปาเล็มบัง 2018 ที่จะเริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม แต่ในหลายชนิดกีฬาก็ได้เปิดการแข่งขันกันไปก่อนแล้วตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลนั้น คอฟุตบอลที่ติดตามลุ้นอย่างใกล้ชิดคงทราบดีว่าทีมช้างศึกไทยอยู่ในสาย B ซึ่งเป็นสายที่หินไม่เบา โดยอยู่ร่วมกับยอดทีมอย่างกาตาร์ อุซเบกิซสถาน และทีมที่ประมาทไม่ได้อย่างบังกลาเทศ
โดยทีมช้างศึกของไทยได้ประเดิมแมตช์แรกของการแข่งขันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม กับทีมจากประเทศกาตาร์ และกับบังกลาเทศไปเมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันเป็นอย่างไรคงทราบกันไปแล้ว
และเราก็คงพอจะคาดเดาได้ว่าครั้งนี้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยเราจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้หรือไม่ ซึ่งเกมนัดแรกที่เราพบกับกาตาร์นั้นเป็นตัวบ่งบอกกันตั้งแต่นัดแรกเลยทีเดียวว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน
สำหรับทีมชบาแก้วหรือทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย มีโปรแกรมแข่งเหมือนๆ กับทีมชาย โดยประเดิมนัดแรกไปแล้วกับทีมญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา และจะลงเตะกับเวียดนามคู่ปรับเก่าในวันที่ 19 ที่จะถึงนี้
ซึ่งทีมฟุตบอลหญิงไทยก็อยู่สายที่เหนื่อยพอควรคือ สายเดียวกับญี่ปุ่นและเวียดนามนี่เอง

เอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ สภาโอลิมปิคไทยได้ประเมินจำนวนเหรียญทองที่ไทยน่าจะทำได้คือ 17 เหรียญทอง 15 เหรียญเงิน 28 เหรียญทองแดง มากกว่าครั้งที่แล้วที่อินชอนเกมส์ เกาหลีใต้ คือ ทำเหรียญทองได้ 12 เหรียญ อยู่ในอันดับ 6 ของตาราง
สำหรับการร่วมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ในครั้งนี้ ประเทศไทยยกทัพนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ไปร่วมมากเป็นอันดับ 2 รองจากเจ้าภาพเท่านั้น คือจำนวนรวม 1,198 คน เป็นนักกีฬา 830 คน เจ้าหน้าที่ 318 คน เพื่อชิงชัย 40 ชนิดกีฬา
ซึ่งถ้าคิดว่าส่งนักกีฬา 830 คน แล้วได้เหรียญทองมาตามคาดคือ 17 เหรียญ ก็เท่ากับว่าในนักกีฬา 48 คนจะได้เหรียญทองติดมือมา 1 เหรียญ ส่วนถ้าคิดรวมทุกประเภทเหรียญก็เท่ากับว่า ในนักกีฬาทุกๆ 13 คนเราจะมีเหรียญติดมือมา 1 เหรียญ ไม่ว่าจะเป็นทอง เงิน หรือทองแดง
คอกีฬาที่สนใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทย โดยเฉพาะในกีฬาที่ได้ลุ้นเหรียญอย่างตะกร้อ แบดมินตัน วอลเลย์บอล กรีฑา กอล์ฟ มวยสากล ยกน้ำหนัก เทควันโด เรือใบ เทนนิส หรือกีฬาที่ต้องเชียร์อย่างฟุตบอล ก็ติดตามได้ทางช่องเวิร์คพอยท์ทีวี ช่อง 23 เฝ้าหน้าจอเชียร์กันได้ยาวๆ ไปจนถึงวันที่ 2 กันยายนนั่นเลย
เวลาเชียร์กีฬาที่ไปในนามทีมชาติอย่างนี้ มันจะรู้สึกคึกคัก ฮึกเหิมเป็นพิเศษ ยิ่งถ้านักกีฬาของเราได้ยืนแท่นโพเดียมและเพลงชาติไทยบรรเลง มันจะตื้นตันจุกคอหอยขึ้นมาทุกที
ถ้าต้องจุกคอหอยเพราะไทยได้เหรียญทอง จะจุกกี่หนก็ยอมครับ
ในขณะที่ติดตามเชียร์กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ไปยาวๆ พอถึงปลายเดือนสิงหาคม ก็จะมีกีฬาที่เป็นหนึ่งในแกรนด์สแลมระดับโลก นั่นก็คือ เทนนิส ยูเอส โอเพ่น 2018 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแกรนด์สแลมสุดท้ายของปี ที่เหล่านักเทนนิสชื่อดังทั้งชาย-หญิงลงพาเหรดแข่งขันกัน เพื่อสะสมคะแนนก้อนโตก่อนจะถึงปลายปี
เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่คอเทนนิสไทยพลาดไม่ได้

นั่นเป็นเรื่องของกีฬาจริงๆ ทางหน้าจอทีวียามนี้
ส่วน “กีฬาการเมืองของไทย” แม้จะยังไม่มีกำหนดที่จะลงแข่งขันกันอย่างชัดเจน ถึงลุงตู่จะพูดบ่อยๆ ว่า น่าจะราวๆ ต้นปี 2562 ก็ตามที แต่ก็มีความเคลื่อนไหวให้คอการเมืองได้ติดตามให้ไม่เหงาเกินไป
ถ้ากีฬาจริงเขาต้องมีการคัดตัวผู้เล่น เรียกมาเก็บตัว ก่อนจะตัดตัวในช่วงสุดท้าย สำหรับกีฬาการเมืองของไทยคงไม่ใช่เป็นเรื่องของการคัดตัว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่า “ดูดตัว” มากกว่า ไม่สนใจว่าจะมีคุณสมบัติดีเหมาะสมแค่ไหน แต่ขอดูดเอามาเป็นพวกไว้ก่อน
มีพวกมากฐานเสียงมากเข้าไว้ แล้วพอใกล้เวลาจะลงสนามค่อยมาเช็กชื่อ คัดตัว ตัดตัวกันอีกที ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเข้มข้นไม่เบา เพราะคนถูกคัดออกไม่ให้ลงสมัครแข่งขันคงไม่ค่อยพอใจ ก็เป็นหน้าที่ของโค้ชหรือผู้จัดการทีมต้องชักแม่น้ำทั้ง 5 กันไป
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ดูดตัว แต่มีการโอนสัญชาติกันด้วย หลายคนอยู่พรรคโน้นพรรคนี้ก็โอนสัญชาติมาอยู่พรรคใหม่ที่ดูมีทีท่าว่าน่าจะคว้าเหรียญทองได้มากที่สุด คงไม่ต้องบอกว่าพรรคไหน แฮ่ม
กีฬายอดฮิตที่นักกีฬาการเมืองต้องฝึกฝนอยู่เสมอคือ “กีฬาวิ่งเต้น” ยิ่งช่วงใกล้ถึงเวลายิ่งต้องสปีดจัดกว่าวิ่ง 100 เมตรอีก
ส่วนบางคนก็ฝึกฝนกีฬา “กระโดดค้ำถ่อ” คือ เดิมอาจจะเคยอยู่แค่นี้ มีผลงานประมาณนี้ แต่ในการเลือกตั้งหน้า ถ้ากระโดดค้ำถ่อเก่งๆ อาจจะได้อัพเกรดไปนั่งในกระทรวงเกรดเอ ดูแลงบประมาณเยอะๆ ก็เป็นได้
ไม่เป็นไร ตอนนี้คนไทยก็เชียร์นักกีฬาไทยกันไปก่อน แล้วพอต้นๆ ปีหน้า ค่อยมาลุ้นสัญญาณเปิดสนามการแข่งขันกันอย่างเป็นทางการ แล้วค่อยเลือกเชียร์กันเองตามใจชอบ
แต่เผื่อใจไว้หน่อยก็ดีว่า นักกีฬาการเมืองที่เราเชียร์ถึงจะคว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้จริงแต่ก็อาจจะ “ดีแตก” ก็ได้ เรื่องอย่างนี้ต้องดูกันนานๆ นะโยม