70 ปีแห่งรัชสมัย “สมเด็จพระภัทรมหาราช” ของปวงชนชาวไทย สิ้นสุดลงแล้ว

AFP PHOTO / ROYAL PALACE / AFP

ประกาศ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี

จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

สวรรคต

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี

สำนักพระราชวัง

13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559

—————-

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเข้าและออกโรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการประชวร นับตั้งแต่ปี 2552-2559 รวมระยะเวลากว่า 7 ปี

คือนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2552 เวลา 02.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ตามคำกราบบังคมทูลของคณะแพทย์ที่เชิญเสด็จฯ ให้เข้ารับการตรวจเช็กพระวรกายอย่างละเอียด โดยประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

จากนั้นสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 1 ความว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระปรอท (เป็นไข้) และมีพระอาการอ่อนเพลีย ตลอดจนเสวยพระกระยาหารได้น้อยลง คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจหาสาเหตุพร้อมกับถวายการรักษาด้วยน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิตร่วมกับยาปฏิชีวนะ

หลังจากนั้นพสกนิกรได้รับทราบข่าวพระอาการประชวรผ่านแถลงการณ์สำนักพระราชวังเป็นระยะๆ

จนวันที่ 6 สิงหาคม 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จฯ ไปประทับ ณ วังไกลกังวล ร่วมปีเศษ

เสด็จฯ กลับมายังโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง

ตามคำกราบบังคมทูลของคณะแพทย์ผู้ถวายการดูแลพระสุขภาพ

ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ระบุว่า

ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ประทับ ณ วังไกลกังวล ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2556 นับได้ 1 ปีเศษ ซึ่งถึงกำหนดเวลาที่จะขอพระราชทานถวายตรวจพระวรกายอย่างละเอียด ณ โรงพยาบาลศิริราช

จากนั้นมีแถลงการณ์ออกมาเป็นระยะๆ

รวม 12 ฉบับในปี 2557

กระทั่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับไปประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

แต่เสด็จฯ กลับไปได้ไม่นาน

วันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ กลับมาประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช อีกครั้ง

และทรงประทับอยู่ที่ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช มาโดยตลอด

โดยมีแถลงการณ์ อาการประชวรเป็นระยะๆ

จนวันที่ 4 กันยายน 2559 มีแถลงการณ์ ฉบับที่ 33 ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดเชื้อในระบบการหายพระทัย คณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยวิธี CRRT

ท่ามกลางความห่วงใยของพสกนิกรชาวไทย

ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 38 ระบุว่า ความดันพระโลหิตลดต่ำลงอีก พระชีพจรเร็วขึ้น ร่วมกับภาวะพระโลหิตมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นอีก มีภาวะการติดเชื้อและการทำงานของพระยกนะ (ตับ) ผิดปกติ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และแก้ไขภาวะพระโลหิตมีความเป็นกรด ตลอดจนถวายพระโอสถควบคุมความดันพระโลหิตเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งถวายเครื่องช่วยหายพระทัย และถวายการรักษาด้วยวิธีทดแทนไต (CRRT) พระอาการประชวรโดยรวมยังไม่คงที่

กระทั่ง เมื่อเวลา 18.45 น. วันที่ 13 ตุลาคม 2559

สำนักพระราชวัง ออกประกาศว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต


เวลา 19.15 น. ของวันเดียวกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

ถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่อยู่ในราชอาณาจักรและในต่างประเทศทั่วโลก

วันที่ชาวไทยทั้งปวงไม่ต้องการแม้แต่จะนึกคิด และไม่ปรารถนาแม้แต่จะได้ยินก็มาถึง

เมื่อสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตแล้ว ในวันนี้ ณ โรงพยาบาลศิริราช

ถือว่าเป็นการสูญเสียและความวิปโยคยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ

นับแต่การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนได้ติดตามข่าวสาร และรับทราบมาเป็นลำดับว่า ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร และได้เสด็จฯ ไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นระยะ

เมื่อพระอาการบรรเทาลงก็จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติด้วยพระวิริยอุตสาหะ เพื่อความผาสุกของพสกนิกร

ตลอดเวลาที่ผ่านมาคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนคนไทยทั้งชาติ

แต่ในที่สุดพระอาการประชวรหาคลายไม่

ประกอบกับพระชนมพรรษามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระชนมพรรษาปีที่ 89 เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ 70 พรรษา

วันที่ 13 ตุลาคม จะเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทยตลอดไปนานแสนนาน ดุจวัน “ปิยมหาราช” 23 ตุลาคม

พี่น้องที่เคารพทั้งหลาย ระยะเวลา 70 ปี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช เริ่มต้นขึ้น ภายหลังจากที่มหาสงครามโลกเพิ่งสิ้นสุดลง ประเทศชาติกำลังฟื้นตัวจากภัยสงคราม ประชาชนเปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ครองราชย์ เป็นผู้นำ เปลี่ยนความท้อแท้ของผู้คน กลายเป็นความแน่วแน่ มั่นคง องอาจที่จะยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ

ตลอดรัชสมัยเป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาประเทศในทุกด้าน

ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูน ทรงเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ นับเป็น 70 ปีที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามโดยแท้

บัดนี้ 70 ปี ในรัชสมัยของ “สมเด็จพระภัทรมหาราช” พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่งของปวงชนชาวไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว

พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมากมาย ล้นพ้นหาที่สุดมิได้มากเพียงใด ความวิปโยคอาลัยของพสกนิกรชาวไทยก็มากมายท่วมท้นหาที่สุดมิได้เพียงนั้น

รัฐบาลขอเชิญชวนให้เราทุกคนร่วมกันตั้งจิตภาวนาตามศาสนาที่ทุกท่านนับถือ

ดังที่เราเคยร่วมกันภาวนาถวายพระพร และอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านเคารพนับถือให้อภิบาลคุ้มครองตลอดเวลาที่ทรงพระประชวร

เพื่ออธิษฐานภาวนา ขอให้ดวงพระวิญญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ สถิตในสรวงสวรรค์ และทรงอภิบาลคุ้มครองราชอาณาจักรไทย ประชาชนชาวไทย ผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ ให้มีความสงบสุข และความสันติสุข

ดุจดังที่ประเทศไทยและประชาชนชาวไทยมีมาโดยตลอด ภายใต้ร่มพระบารมียาวนาน 70 ปี

พี่น้องประชาชนที่เคารพ ถึงแม้เราจะอยู่ในยามทุกข์โศกน้ำตานองหน้าทั่วกันเพียงใด

ประเทศไทย อันเป็นที่รักของพวกเราและของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ต้องดำรงต่อไป

อย่าให้การเสด็จสวรรคตครั้งนี้ ทำให้พระราชปณิธานที่จะเห็นราชอาณาจักรของพระองค์มีความเจริญรุ่งเรือง พสกนิกรมีความผาสุกสวัสดี มีเมตตาและไมตรีต่อกันต้องหยุดชะงักลง

การจะแสดงความจงรักภักดีและความอาลัยที่ดีที่สุด คือเจริญรอยตามพระยุคลบาท

สืบสานพระราชปณิธาน ที่จะรักษาเอกราช อธิปไตย ความสมบูรณ์พูนสุข และความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ตลอดจนการปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสที่เคยพระราชทานไว้

ภารกิจสำคัญที่จะต้องดำเนินการ ในบัดนี้มี 2 ประการ คือ

การดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามกฎมนเทียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 ตลอดจนตามราชประเพณีในส่วนของการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งสอดคล้องต้องกัน เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

โดยรัฐบาลจะแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาองค์รัชทายาทตามกฎมนเทียรบาลไว้แล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515

จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

อีกประการหนึ่ง คือการเตรียมงานพระบรมศพในส่วนของรัฐบาลและประชาชนให้สมพระเกียรติยศ และสมกับความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทย ที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 2 ประการนี้ รัฐบาลจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะต่อไป

ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเรื่องต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายและราชประเพณี

อีกทั้งควรใช้โอกาสนี้ให้กำลังใจแก่กันและกัน

เพราะเราทุกคนต่างก็มีหัวอกเดียวกัน

เพราะมีพ่อของแผ่นดินร่วมกัน

และโปรดช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มิให้ผู้ใดฉวยโอกาสแทรกเข้ามาก่อความขัดแย้ง จนกลายเป็นความวุ่นวาย

ขอพี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมส่งเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ด้วยการรักษาแผ่นดินของพ่อ ด้วยความรักและความสามัคคีตลอดไป

พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งหลาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตแล้ว

ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลใหม่ ทรงพระเจริญ