ทวีปที่สาบสูญ “ที่กำลังหล่อเลี้ยงมันอยู่”

ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะอะไร…เพราะ…สิ่งที่ปิมปาถามมาหรือไม่ ความเป็นพี่น้องสำคัญแค่ไหน มันต่างกันอย่างไรกับสิ่งที่เราทำ…และไม่ทำ

หรือจะเพราะลึกๆ ในใจ ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด…ไม่สักนิดเดียว ทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้ สิ่งที่รบกวนจิตใจฉันไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำกับปิมปา แต่เพราะสายตาของแม่ต่างหาก

ความคาดโทษ ความสนใจ การจับจ้องโดยที่แม่ไม่พูดอะไรสักคำ แตกต่างกันนักกับความเงียบที่เราเคยอยู่ร่วมกัน

ต่างแม้กระทั่งวันที่เราเคยเดินเคียงกัน และแม่มีงูตัวหนึ่งคล้องคอ

ในวันนั้น…

 

ในวินาทีหนึ่ง ที่ฉันกำลังมีเด็กผมขอดแนบอยู่ในอ้อมอก

“พี่คะ…พี่ลืมไปหรือเปล่า ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”

เสียงพร่าดังขึ้น

“หนูปิม!” ฉันเกือบสำลัก “รู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

“ทำไมปิมจะรู้ไม่ได้คะ แม่เป็นแค่ลูกติดของแฟนยายไม่ใช่หรือคะ แล้วพ่อของปิมก็ยังเป็นใครไม่รู้อีก ปิมน่ะ ไม่มีใครเป็นญาติจริงๆ สักคนในเมืองนี้ แม้แต่พี่รอย ถึงพ่อเขาจะอยู่ไกล แต่นั่นก็เป็นพ่อจริงๆ…พี่เสียอีก มีทั้งพ่อแม่ มีพี่ มีน้อง มียายที่เป็นยายแท้ๆ…แต่ปิมน่ะ ไม่มีใครเลย”

“ไม่นะ หนูปิม”

อะไรสักอย่างแทงเข้าในอก ฉันรัดร่างหอมนุ่มแน่นเข้า

“อย่าคิดแบบนั้น ถึงเราไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่รอยก็เป็นพี่ อ้ายออมก็เป็นน้อง ยายเองรักปิมมาก พ่อแม่พี่ก็รักปิมเหมือนลูกแท้ๆ มาตลอด”

พร้อมกันนั้น ในใจอดแช่งชักหักกระดูกไม่ได้ ใครที่ปากผีปากพล่อย พูดให้เด็กกำพร้ารู้ประวัติตัวเอง ก็มีแต่ยายร่อยเท่านั้น

“ปิมไม่อยากเป็นญาติหรอกค่ะ” เด็กผมขอดกลับสวนคำเข้ามา “ถ้าเป็นแล้วพี่รังเกียจ จะไม่นอนกับปิม”

เหมือนมีไฟจี้เข้ามาอีกสายหนึ่ง ฉันพูดอะไรไม่ออก เด็กผมขอดสอดแขนเข้ามารัดรอบเอว

“กว่าหนังจะเลิกคงอีกนาน ถ้าพี่แน่ใจว่าไม่รังเกียจปิม…พาไปบ้านสิคะ”

 

ฉันปล่อยเด็กผมขอดกอดแขน ย่างเท้าเข้าเขตบ้าน รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

ปิมปาแนบหน้ากับไหล่ ทำตัวอ่อนดังเถาวัลย์ เดินผ่านประตูรั้วไร้บาน เห็นเงาต้นรักเร่ในความสลัว

หยุดเท้าชั่วครู่ รักเร่ผลิดอกแกร็นกว่าเคยทั้งที่แม่เฝ้าฟูมฟักรักษา เช่นเดียวกับมะลิ กุหลาบ สายหยุด กระดังงา แกลดิโลลัส ดองดึง ซัลเวียป่า เทียนหยด ราชาวดี บานบุรี สายน้ำผึ้ง พวงแสด กรรณิการ์ มหาหงส์ ซึ่งผลัดกันบานแต่ละฤดู

“มีอะไร” ปิมปาหยุดเท้าบ้าง เงยหน้าดู

“เปล่า”

กัดปาก ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝายเล็กข้างบ้าน น้ำที่ผ่านตลิ่งคงทิ้งรอยตลอดแนวฝั่ง ไผ่ไหวกออ้อเอียดออด นั่นลมเคล้าคลอหรือข้อไม้ครูดคลึงกัน?

ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย รอบบริเวณเงียบเชียบ กลิ่นดอกไม้บางชนิดลอยมา อาจเป็นกุหลาบขาวที่แตกดอกพราวเสมอ หรือแท้แล้วจะเป็นกลิ่นจากแววตา

…เจ้าแก้วแววตา

คนผมขอดเคลียแก้ม สายตาเหมือนลูกหมาจงรักภักดี ก็คงเป็นสายตาเช่นนั้น ที่ทำให้ฉันตั้งใจจะผลักออก แต่กลับกลายเป็นรั้งเข้า อย่างรุนแรงและรวบรัด จนปิมปาหลังชนขอบบันได

“…พี่คะ”

“พอใจหรือยัง”

กลางคืนมืดมนยิ่งนัก แต่ยิ่งมืดมาก ผีห่าในตัวฉันยิ่งมีชีวิตสว่างไสว

 

“…เดี๋ยวสิคะ ปิมกลัวตก”

รุนให้ขึ้นบันได เด็กผมขอดเหลียวหลังหวาดไหว มือควานหาที่ยึดเหนี่ยว

“ก็ไหนอยากให้พี่…นัก”

มาอีกแล้ว กลิ่นดอกไม้ไหลเลาะเซาะซอน เหมือนริบบิ้นที่มองไม่เห็น สะบัดพันรัดตัว แววตาที่ตระหนกแต่ไม่ยอมไปไหน ยิ่งจุดไฟในตัวฉันลุกโรจน์

ความโกรธ ความขุ่นเคือง แม้แต่ความเศร้าที่ไม่เข้าใจ ฉันคงจะระบายมันออกไปได้ด้วยสิ่งเหล่านี้

“พะ…พี่คะ”

ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ทุกอย่างเงียบเชียบจนเสียงย่ำบนพื้นไม้ก้องกังวาน ผ่านบันไดขั้นสุดท้ายสู่เติ๋นหรือห้องโถง ฉันรุนหลังเด็กผมขอดจนถึงห้องส่วนตัว

ประตูเปิดออก ผลักปิมปาเข้าข้างใน ลงกลอน

“แน่ใจใช่มั้ย?”

ปิมปาแววตาตระหนกอยู่อีก แต่ไม่ละวงแขนที่สอดเข้ามารับคอฉันเอาไว้ และเป็นฝ่ายดึงลงด้วยซ้ำไป จนหลังตัวเองแตะสะลีที่นอน

 

“พี่…พี่คะ”

ฉันเกลียดเสียงนี้ พอๆ กับที่อยากฟังมัน จึงดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้นอีกหน และพากระถดเข้าไปจนใกล้หน้าต่าง

มองผ่านบานช่องออกไป เห็นดาวพราวพรายบนฟ้าทางทิศตะวันตก โน่นอาจจะเป็นดาวศุกร์ก็ได้…สว่างเพียงนั้น

ในความมืด ยังเห็นต้นคะมอกเหยียดก้านชูใบ บ้านหลังตรงข้ามแลเห็นเป็นเงาตะคุ่ม คล้ายมีแมวกระโดดแผล็วบนหลังคา

“…มะ ไม่ปิดหน้าต่างหรือคะ”

“ไม่ต้อง จะได้ดูเดือนดูดาว”

“เดี๋ยวใครจะเห็นเข้า”

“ไม่เห็นหรอก แต่เราสิ ถ้ามีคนมาก็จะรู้”

จากนั้นรั้งญาติผู้น้องเข้านั่งตัก จรดริมฝีปากเข้าข้างหู

“จะเปลี่ยนใจมั้ย?”

ไม่มีคำตอบ รับรู้เพียงการไหวไหล่ไปกับสัมผัส กับการโอนอ่อนผ่อนตาม

“ว่าง่ายดีนี่” ฉันถอนใจ

ใช้ปลายนิ้วยกผมออกจากต้นคอ แนบจูบลงไปอีก นี่สำหรับความต้องการของเจ้าหล่อน

ปิมปาสะดุ้ง

“อยู่เฉยๆ สิ”

“…ก็พี่…”

“จำได้มั้ย ตอนเด็กๆ ปิมเคยร้องไห้อยากได้ดอกเอื้อง”

“…จำไม่ได้ค่ะ”

“นั่นไง ว่าแล้วเชียว แล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่ปิมอยากได้จริงๆ หรืออยากได้ชั่วครั้งชั่วคราว”

ไม่มีคำตอบ เด็กผมขอดอาจจะคิดตามไม่ทัน หรือมันยากเกินไป

“งั้นถามใหม่ ปิมแน่ใจหรือว่าจะไม่เสียใจ จะไม่รู้สึกแย่อีก กับสิ่งที่…จะทำกับพี่อีกวันนี้”

“…คง…คงไม่ค่ะ” เสียงแผ่ว

“เพราะอะไร”

“เพราะ….เพราะปิมก็ชอบ”

ก็เท่านั้น ทำให้ฉันลอบยิ้มอยู่ในหน้า

 

“ว่ายังไงนะ” แต่กดปากหนักลงอีกครั้งหนึ่ง “ทำไมถึงชอบ บอกพี่อีก!”

ปิมปาหายใจหน่วงหนักขึ้นมา และแม้จะยังมีเสื้อผ้าครบถ้วนบนตัว ในความมืดสลัว มองเห็นใบหน้าที่เริ่มแสดงความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าไม่ตอบ กลับไปดูหนังกันนะ”

มือซ้ายฉันผ่านเข้าใต้เสื้อ ขณะมือขวาเฉียงลงหาซอกขา

ปิมปาสะดุ้ง ทำเหมือนจะสำลักเสียง

“น้ำเยอะนะวันนี้”

เด็กผมขอดจิกปลายเล็บเข้ากับแขนทันที

“…พี่!”

“น้ำในฝายหรอก ฟังเสียงดูสิ”

ปิมปาสะท้านสะเทือนไหวไปทั้งตัว

“ว่าอะไรนะ? เสียงเบา” ฉันยังรุกเร้า “พี่ไม่ได้ยิน ตกลงชอบหรือไม่ชอบกันแน่?”

“ชะ…ชอบค่ะ แต่ไม่รู้…เพราะอะไร”

“ไม่รู้จริงๆ หรือ แล้วชอบมากมั้ย”

“ก็…มากค่ะ”

เท่านั้นฉันก็พอใจ การได้มีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิต…เหนือใครสักคนหนึ่ง มันทำให้เกิดความรู้สึกใหม่ๆ และยิ่งนานไป ฉันยิ่งเรียนรู้วิธีจะควบคุมได้ดีกว่านั้น

ต้องดีกว่านั้นขึ้นอีก

“พี่คะ!”

“ทำไม”

“…อย่าทำแบบนี้”

“แบบไหน? นี่หรือ?”

ฉันหยุดทุกสัมผัส ราวตัวเองเป็นเพียงก้อนหินที่ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีก หากยังเป็นหินแท่งหนึ่ง ซึ่งฝังตัวในเนื้อดินนุ่มอ่อน

…ดินที่กำลังร้อนผะผ่าว เต็มไปด้วยหยาดหยดน้ำฉ่ำคลอ

“พี่อย่าแกล้งปิม” เสียงร้องขอสั่นเครือ

“อ้าว ตกลงจะเอายังไงกันแน่”

“พี่อย่า…แกล้งปิม” หนนี้เสียงดังจะร้องไห้

ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนไหวอีกหน

“กว่าหนังจะเลิกก็อีกนาน ไม่ต้องรีบกันนี่”

เด็กผมขอดสะทกสะเทือน เหมือนเป็นตุ๊กตาของเล่นในมือฉัน ทุกสัมผัสจะบันดาลให้สั่นระเร่าอย่างไรก็ได้

ฉันพอใจ รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า จนชั่วขณะ ลืมเลือนสายตาของแม่ไป

“พะ…พี่คะ”

ปิมปาตะกุกตะกัก ปากงับลงบนไหล่ แทบจะขบกัดเนื้อฉันจมเขี้ยวไป แต่รู้ว่ายังพยายามรั้งไว้

นั่นยิ่งเป็นความพึงพอใจ ฉันรัดร่างญาติผู้น้องเอาไว้ ปล่อยความคิดทั้งมวลเหือดหาย เหลือเพียงสว่างไสวจ้าขาว ของคมเขี้ยววาวผีห่าตนหนึ่ง

ปีศาจซึ่ง…ละเลียดชิมทุกหยดหยาดเปียกฉ่ำ ที่กำลังหล่อเลี้ยงมันอยู่