ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
อาชีพเฮงซวยผงาด : สัมภาษณ์ เดวิด เกรเบอร์ (จบ)
ถาม : คุณเห็นสิ่งที่มาคู่ขนานกับการผงาดขึ้นของอาชีพเฮงซวยด้วย ซึ่งก็คือการผงาดขึ้นของอาชีพไม่เฮงซวย คุณเรียกมันว่าอาชีพบริบาลหรือให้การบริบาล (caring or care-giving jobs) คุณจะบรรยายอาชีพเหล่านี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ? ทำไมอาชีพพวกนี้ถึงได้ผงาดขึ้นมาและมันอยู่ในภาคส่วนเศรษฐกิจไหนบ้าง?
เดวิด เกรเบอร์ : ผมเอาแนวคิดนี้มาจากทฤษฎีเฟมินิสต์เป็นส่วนใหญ่ ผมคิดว่ามันสำคัญมากเพราะผมเห็นว่าแนวคิดดั้งเดิมเรื่องการทำงานมีลักษณะเทววิทยาและพ่อบ้านมาก แนวคิดเรื่องการผลิตที่เรามีอยู่นี่ มันพ่วงเอาความคิดมาด้วยว่าการทำงานถือเป็นเรื่องเจ็บปวด มันเป็นโทษทัณฑ์ที่พระเจ้าลงแก่เรา แต่มันก็เป็นการเอาอย่างพระเจ้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำนานเรื่องเทพโพรมีธีอุส หรือคัมภีร์ไบเบิล มนุษยล้วนแต่กบฏต่อพระเจ้าและพระเจ้าก็เลยตรัสว่า “โอ้ เจ้าอยากได้อำนาจของข้าหรือ ดีละ – เจ้าอาจสร้างโลกได้ แต่มันจะทุกข์ยากขมขื่น เจ้าจะทนทุกข์ทรมานเมื่อเจ้ากำลังสร้างโลกขึ้นมา”
แต่มันยังถูกมองว่าเป็นธุระของผู้ชายโดยแก่นแท้ด้วย กล่าวคือ ผู้หญิงให้กำเนิดลูกและผู้ชายผลิตสิ่งของต่างๆ นี่มันเป็นอุดมการณ์ แน่ละว่ามันทำให้งานเป็นจริงทั้งหมดที่ผู้หญิงทำในการบำรุงรักษาโลกกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แนวคิดเรื่องการผลิตที่ว่านี้ซึ่งอยู่ตรงใจกลางทฤษฎีทั้งหลายแหล่ของขบวนการคนงานแห่งคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้า รวมทั้งทฤษฎีแรงงานให้กำเนิดมูลค่าด้วย – มันออกจะลวงโลกไปหน่อย
คุณลองถามนักลัทธิมาร์กซ์คนไหนก็ได้เรื่องแรงงานและมูลค่าของแรงงาน พวกเขาจะเผ่นแผล็วไปที่เรื่องการผลิตทันทีเสมอ เอาละ นี่คือถ้วยใบหนึ่ง มันก็จริงอยู่ว่าใครสักคนต้องทำถ้วยขึ้นมา แต่เราทำถ้วยครั้งเดียวนะครับ แล้วจากนั้นเราต้องล้างมันเป็นหมื่นครั้งจริงไหม?
แรงงานในการล้างถ้วยที่ว่ามันหายวับไปหมดเลยในเรื่องราวเหล่านี้ส่วนใหญ่ งานส่วนมากน่ะไม่เกี่ยวกับการผลิตสิ่งของ แต่เกี่ยวกับการรักษามันไว้ให้เหมือนเดิมต่างหาก มันเกี่ยวกับการบำรุงรักษามัน ดูแลมัน แต่ก็รวมถึงการดูแลผู้คน ดูแลพืชและสัตว์ทั้งหลายด้วย
ผมจำได้ว่าเคยมีการโต้เถียงกันในลอนดอนเกี่ยวกับคนงานรถไฟใต้ดิน พวกเขาพากันปิดออฟฟิศขายตั๋วในรถไฟใต้ดินลอนดอนกันหมด พวกนักลัทธิมาร์กซ์จำนวนมากบอกว่า “โอ้คุณคงรู้แหละนะ คนงานรถไฟใต้ดินก็น่าจะเป็นอาชีพเฮงซวยด้วยในความหมายหนึ่ง เพราะภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์สมบูรณ์คุณไม่จำต้องมีพนักงานตรวจตั๋วจริงๆ หรอก การเดินทางจะฟรี ดังนั้น บางทีเราก็ไม่ควรจะมาปกป้องอาชีพพวกนี้” ผมจำได้ว่าผมคิดว่ามันมีบางอย่างออกจะหยาบๆ ลวกๆ อยู่ในคำพูดนั้น
แล้วทีนี้ผมก็เห็นเอกสารที่พวกคนงานรถไฟใต้ดินที่นัดหยุดงานเผยแพร่ออกมา พวกเขาบอกว่า
“ขอให้โชคดีนะครับถ้าเกิดเข้าไปอยู่ในรถไฟใต้ดินระบบใหม่ของลอนดอนที่ไม่มีใครทำงานที่สถานี เราก็แค่หวังว่าลูกของคุณจะไม่พลัดหลง หวังว่าคุณจะไม่ทำข้าวของหาย หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอันใด หวังว่าจะไม่มีใครตื่นกลัวจนตัวเกร็งแข็งทื่อและเกิดอาการวิตกกังวลกะทันหัน หรือเมามายแล้วเริ่มรังควานคุณเข้า”
พวกเขาไล่รายการบัญชีสิ่งต่างๆ ทั้งหลายแหล่ที่เอาเข้าจริงพวกเขาช่วยทำ บัดดลนั้นคุณก็ตระหนักว่าแม้แต่อาชีพคลาสสิกของชนชั้นคนงานเหล่านี้จำนวนมากจริงๆ แล้วเป็นแรงงานบริบาล มันเกี่ยวกับการดูแลผู้คน แต่คุณดันไม่คิดถึงมันทำนองนั้น คุณไม่ตระหนักถึงมัน มันเหมือนงานพยาบาลกว่างานกรรมกรโรงงานมากเลย
พ้นความเฮงซวยออกไป
ถาม : เรื่องหนึ่งที่คุณพูดในหนังสือ Bullshit Jobs : A Theory ของคุณคือคุณคิดว่าขบวนการ Occupy (หมายถึงขบวนการ Occupy Wall Street ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวประท้วงกลุ่มทุนการเงินอเมริกันด้วยการยึดครองสวนสาธารณะ Zuccotti ใน Wall Street อันเป็นย่านธุรกิจการเงินของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อปี ค.ศ.2011 ก่อนจะแพร่กระจายไปหลายแห่งทั่วโลก – ผู้แปล) อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขบถโดยชนชั้นบริบาล
เดวิด เกรเบอร์ : คือมันมีหน้า “เราคือพวก 99%” ในเว็บไซต์ Tumblr สำหรับคนที่งานยุ่งเกินกว่าจะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวยึดครองจริงๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ที่คิดกันก็คือคุณสามารถทำเครื่องหมายเล็กๆ ด้วยการพูดถึงสภาพชีวิตของคุณและทำไมคุณถึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวไว้ที่หน้านั้น มันจะจบลงด้วยคำว่า “ผม/ฉันเป็นพวก 99%” เสมอ ปรากฏว่ามีการตอบสนองมหึมามาก คนหลายต่อหลายพันพากันทำแบบนี้
เมื่อผมลองเข้าไปอ่านตรวจดู ผมพลันตระหนักว่าคนที่มาเขียนเกือบทั้งหมดอยู่ในเศรษฐกิจภาคบริบาลในบางความหมาย ต่อให้พวกเขาไม่อยู่ในภาคนั้น แก่นเรื่องที่เล่าก็ดูคล้ายกันมาก โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาบอกว่า
“คืองี้นะ ผมอยากได้อาชีพที่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้กำลังทำร้ายใคร จริงๆ แล้วก็คืออาชีพที่ผมกำลังทำอะไรบางอย่างที่เป็นคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ผมอยากช่วยผู้คนบ้าง อยากดูแลคนอื่น อยากทำคุณประโยชน์ให้สังคม”
แต่ถ้าคุณลงเอยได้ทำงานด้านดูแลสุขภาพหรือการศึกษา บริการสังคม คือทำอะไรบางอย่างที่คุณได้ดูแลคนอื่น พวกเขาก็จะจ่ายค่าตอบแทนคุณเล็กน้อยเหลือเกิน และทำให้คุณติดหนี้สินล้นพ้นตัวเสียจนกระทั่งคุณไม่มีปัญญาดูแลครอบครัวตัวเองด้วยซ้ำไป นี่มันไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง
ไอ้ความรู้สึกถึงความอยุติธรรมขั้นมูลฐานนี่แหละที่เอาเข้าจริงผมคิดว่าขับเคลื่อนขบวนการ Occupy ไปยิ่งกว่าอะไรอื่น ผมตระหนักว่าพวกเขาสร้างอาชีพเทียมเหล่านี้ขึ้นมาซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคุณอยู่ที่นั่นก็เพียงเพื่อทำให้พวกผู้บริหารรู้สึกดีกับตัวเองเท่านั้น พวกเขาต้องปั้นแต่งการงานให้คนอื่นทำ ในด้านการศึกษาหรือด้านดูแลรักษาสุขภาพ การณ์นี้เด่นชัดอย่างเหลือเชื่อ คุณเห็นมันตลอดเวลาเลย พยาบาลต้องใช้เวลากึ่งหนึ่งไปในการกรอกเอกสาร
พวกครูบาอาจารย์ ครูโรงเรียนประถม คนอย่างผมนี่แหละ – มันอาจไม่แย่ขนาดนั้นเสียทีเดียวในระดับอุดมศึกษาเมื่อเทียบกับถ้าคุณกำลังสอนประถมห้า แต่มันก็ยังแย่นะครับ
ถาม : พวกเราทั้งหมดต่างฝันถึงสังคมที่ปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากงานที่บั่นทอนความคิดจิตใจ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินตามแรงปรารถนาอันเร่าร้อนของเราและความใฝ่ฝันของเราและดูแลกันและกัน ดังนั้นมันก็เป็นแค่ปัญหาทางการเมืองใช่ไหมคะ? มันใช่ปัญหาที่ข้อเสนอเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (universal basic income – UBI) สามารถจะแก้ไขได้หรือเปล่าคะ?
เดวิด เกรเบอร์ : คือผมคิดว่ารายได้พื้นฐานถ้วนหน้าจะเป็นข้อเรียกร้องระยะผ่านได้ มันเข้าท่าสำหรับผม อันที่จริงมาร์กซ์เสนอแนะไว้ที่ไหนสักแห่งว่าเรื่องการปฏิรูปน่ะมันไม่มีอะไรผิดหรอก ตราบเท่าที่มันเป็นการปฏิรูปที่บรรเทาปัญหาหนึ่งแต่ดันก่อให้เกิดอีกปัญหาหนึ่งซึ่งจะแก้ไขได้ก็แต่โดยการปฏิรูปที่กระทั่งถึงรากถึงโคนยิ่งกว่าเก่าเท่านั้น ถ้าคุณทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดคุณจะไปถึงระบบคอมมิวนิสต์ เขาว่าไว้ยังงั้น บางทีเขาอาจจะมองโลกแง่ดีไปหน่อย
คุณก็รู้ว่าผมเป็นพวกอนาธิปไตย ผมไม่ต้องการสร้างทางออกแบบรัฐนิยม
ดังนั้น ทางออกที่ทำให้รัฐเล็กลงแต่ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงสภาพการณ์ให้ดีขึ้นและทำให้ผู้คนเสรีขึ้นที่จะท้าทายระบบน่ะ มันก็ยากอยู่หรอกนะที่ผมจะเถียงด้วย และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า
ผมไม่ต้องการทางออกที่จะสร้างอาชีพเฮงซวยเพิ่มขึ้นอีก การประกันการมีงานทำดูเหมือนจะดีแต่ก็อย่างที่เราได้รู้จากประวัติศาสตร์นั่นแหละว่ามันมีแนวโน้มจะสร้างผู้คนที่ทำงานทาก้อนหินให้เป็นสีขาวหรือทำอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นต้องทำเลยก็ได้ มันยังเรียกร้องต้องการระบบบริหารขนาดยักษ์เพื่อดำเนินงานด้วย บ่อยครั้งดูเหมือนพวกที่ชมชอบทางออกประเภทนั้นจะเป็นคนที่มีจิตตารมณ์แบบชนชั้นมืออาชีพ-ผู้จัดการนั่นเอง
ขณะที่รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าเป็นเรื่องการให้แก่ทุกคนมากพอที่พวกเขาจะยังชีพได้ หลังจากนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะไปทำอะไร (อันนี้เห็นได้ชัดว่าผมหมายถึงข้อเสนอรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าฉบับถึงรากถึงโคนนะครับ ผมไม่เอาด้วยกับฉบับของอีลอน มัสก์)
ในความหมายหนึ่งเป้าหมายก็คือหย่า การทำงานให้ขาดออกจากการตอบแทน
นั่นแปลว่าถ้าคุณดำรงอยู่ คุณก็คู่ควรที่จะได้ครองชีพ คุณอาจเรียกสภาพนั้นว่าเสรีภาพในปริมณฑลทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ผมจะตัดสินใจเองว่าผมจะอุทิศคุณูปการให้สังคมอย่างไร
สิ่งสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษาของผมเรื่องอาชีพเฮงซวยก็คือผู้คนทุกข์ระทมตรมตรอมขนาดไหน
มันแสดงออกมาชัดจริงๆ ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ ในแง่ทฤษฎี จริงอยู่ว่าคุณได้อะไรบางอย่างโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คุณกำลังนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงนี้รับเงินมาเพื่อแทบไม่ต้องทำอะไรเลยในหลายกรณี
แต่เชื่อมั้ยครับว่ามันทำให้ผู้คนถึงกับร้องไห้โฮออกมา มันทั้งซึมเศร้า วิตกกังวล บรรดาอาการโรคกายเหตุจิต (psychosomatic illnesses) ทั้งหลายแหล่ ที่ทำงานที่เลวร้ายและพฤติกรรมที่เป็นพิษภัย และมันถูกทำให้แย่ลงไปอีกด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะหัวเสียอย่างนั้น
เพราะก็อย่างที่คุณรู้น่ะแหละ ทำไมผมยังจะมานั่งบ่นอยู่อีก?
ถ้าเกิดผมบ่นให้ใครคนหนึ่งฟัง พวกเขาก็จะแค่บอกว่า “เฮ้ย ลื้อได้อะไรบางอย่างมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วยังมีหน้ามาโอดครวญอีกเหรอ?” แต่มันก็แสดงว่าความคิดพื้นฐานของเราเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งถูกวิชาเศรษฐศาสตร์ปลูกฝังไว้ในตัวเราทุกคน
อย่างเช่นที่ว่าเราล้วนแต่พยายามให้ได้รางวัลตอบแทนมากที่สุดโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุดนั้น เอาเข้าจริงหาได้เป็นจริงไม่ ผู้คนเขาอยากจะอุทิศคุณูปการให้โลกทางใดทางหนึ่ง
ดังนั้น มันจึงแสดงว่าถ้าคุณให้รายได้ขั้นพื้นฐานแก่ผู้คน พวกเขาก็จะไม่มามัวนั่งเล่นดูทีวีกันหรอก
ซึ่งนี่เป็นข้อโต้แย้งคัดค้านอย่างหนึ่ง
แน่ละว่าข้อโต้แย้งคัดค้านอีกอย่างก็คือว่าพวกเขาอาจจะอยากอุทิศคุณูปการให้สังคม
แต่พวกเขาจะทำอะไรบางอย่างที่งี่เง่าเสียจนกระทั่งสังคมจะเต็มไปด้วยกวีห่วยๆ และนักดนตรีกับพวกแสดงละครใบ้ข้างถนนที่น่ารำคาญทุกหนแห่ง หรือคนที่เฝ้าหาทางพัฒนาเครื่องจักรพิลึกพิเรนทร์ที่เดินเครื่องได้ถาวรอะไรเทือกนั้น
ผมมั่นใจเลยว่าก็คงมีอะไรทำนองนั้นเกิดขึ้นบ้าง
แต่ดูนี่แน่ะ ถ้าหากคน 40 เปอร์เซ็นต์คิดว่าอาชีพของพวกเขาไร้คุณค่าเป้าหมายใดๆ เอาเลยละก็ สภาพการณ์มันจะย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่แล้วตอนนี้ได้อย่างไร? อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะเป็นสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นยิ่งกว่ากรอกแบบฟอร์มทั้งวันมากโขเลย