ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
เคยอ่านนิทานธรรมของพระไพศาล วิสาโล เรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องของอาจารย์วิษณุ ที่ไม่ใช่ “เครืองาม”
อาจารย์วิษณุมีลูกศิษย์อยู่หลายคน แต่ที่เด่นที่สุดมี 2 คน
คือ “ชัย” และ “จิต”
อาจารย์วิษณุแสดงท่าทีชื่นชอบ “จิต” มากกว่าจนทำให้ “ชัย” น้อยใจ
อาจารย์วิษณุแลเห็นแต่ก็ไม่อธิบายอะไร
วันหนึ่ง เขาเรียกลูกศิษย์ทั้งสองมาหาแล้วพาไปดูห้องที่ว่างเปล่า 2 ห้อง
อาจารย์วิษณุมอบเหรียญ 1 รูปีและบอกให้ทั้ง 2 คนทำให้ห้องของตัวเองเต็มที่สุดภายในเย็นนี้
ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ทิ้งเป็นปริศนาธรรมให้ “ชัย” และ “จิต” ตีความเอง
“ชัย” รีบไปตลาด พยายามหาซื้ออะไรที่มาเติมเต็มห้องเปล่า
แต่ 1 รูปีมีค่าน้อยเกินไป
ซื้ออะไรก็ได้นิดหน่อย
มีเพียงแค่ “ขยะ” เท่านั้นที่แทบจะไม่มีราคา
เมื่อโจทย์ของอาจารย์ไม่ได้บอกว่า “ของ” ที่ใส่ให้เต็มนั้นต้องมีสิ่งของที่มีค่า
“ขยะ” ก็เป็นของอย่างหนึ่ง
ในที่สุดเขาก็ใช้เงิน 1 รูปีซื้อ “ขยะ” กองใหญ่ไปวางในห้องจนเต็ม
“ชัย” ภูมิใจในผลงานของเขามาก
ส่วน “จิต” นั้นใช้เวลาในการนั่งคิด ก่อนที่จะไปตลาด
สิ่งที่เขาเลือกซื้อไม่มีสิ่งของที่มี “ปริมาณ” มากมาย
“จิต” ซื้อไม้ขีดไฟ ธูป และประทีป
พอถึงเวลาเย็นเขาก็จุดธูปและประทีป
อาจารย์วิษณุเริ่มตรวจงานห้องของ “ชัย” ก่อน
พอเปิดประตู กลิ่นของ “ขยะ” ก็เหม็นตลบอบอวล
เขาเดินไปที่ห้องของ “จิต”
ในห้องไม่มีสิ่งของอะไรเลย
มีเพียงธูปและเทียนที่จุดไฟไว้แล้ว
แต่กลิ่นหอมของธูปและความสว่างไสวของประทีปกลับเติมเต็มให้กับห้องนั้น
แม้จะจับต้องไม่ได้เหมือนวัตถุ
แต่กลิ่นสัมผัสและความสว่างในห้องทำให้ห้องนั้นเต็มไปด้วยความสุข
วินาทีนั้น “ชัย” เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์วิษณุจึงชื่นชม “จิต” มากกว่า
ทั้งคู่ทำตามโจทย์ที่อาจารย์ให้มาสำเร็จเหมือนกัน
แต่ “ความรู้สึก” ต่อสิ่งที่เติมเต็มนั้นแตกต่างกัน
“พระไพศาล” บอกว่านิทานเรื่องนี้ไม่ได้สรุปว่าใครฉลาดกว่าใคร
เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของคน
ห้องที่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตของเรา
เงิน 1 รูปีก็เปรียบเสมือน “เวลา” ที่น้อยนิด
ใครจะใช้ “เวลา” ได้มีคุณค่ามากกว่ากัน
บางคนเลือกสะสม “วัตถุ” ให้มากที่สุด
เติมเต็มให้ “ห้อง” หรือ “ชีวิต”
แต่บางคนก็เลือกสิ่งที่งดงาม หรือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมาย
“กลิ่นหอมเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความคิด ส่วนแสงสว่างเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา สองอย่างนี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตงดงามและมีคุณค่าอย่างแท้จริง”
“พระไพศาล” สรุปในข้อเขียนชิ้นนี้
คุณธรรมและปัญญา
สิ่งเหล่านี้คือ “นามธรรม”
มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง
บางทีการตั้งคำถามกับชีวิตว่า “ความสุข” แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน
บางที “คำตอบ” ก็ไม่ใช่สิ่งที่เรามองเห็น
วันก่อนผมเพิ่งดูหนังญี่ปุ่นใน “เน็ตฟริกซ์”
จำชื่อเรื่องไม่ได้
เป็นเรื่องของ “ซามูไร” คนหนึ่งที่ถูกตามล่าเพราะไปฆ่าเจ้านายของตัวเอง
เหตุเพราะเจ้านายหลอกให้เขาไปฆ่าคนคนหนึ่งโดยหาว่าคนนั้นทุจริต
แต่มารู้ว่าคนที่ทุจริตคือเจ้านายของเขาเอง
พระเอกจึงตัดสินใจฆ่าเจ้านายและคนคุ้มกันทั้งหมด
วันที่เขาถูกตามล่าและโดนฟันจนใกล้จะเสียชีวิต
มีหญิงชราคนหนึ่งมอบความเป็นอมตะให้กับเขาด้วยการใส่ตัวหนอนที่จะชุบชีวิตให้กับพระเอก
ไม่ว่าจะโดนฟันเท่าไรก็ไม่ตาย
พระเอกมีชีวิตยาวนานต่อไปอีก 50 ปี
ในขณะที่คนทั่วไปเรียกร้องความเป็นอมตะ
ไม่อยากตาย
แต่สำหรับพระเอก “ความทุกข์” ที่สุดของเขาคือ อยากตายแต่ก็ไม่ตาย
เพราะความเหงาและโดดเดี่ยวทรมานมากกว่า “ความตาย”
จนวันหนึ่งมีเด็กหญิงขอความช่วยเหลือ ให้ปกป้องและช่วยแก้แค้นที่พ่อของเธอถูกสังหาร
เรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ตามแบบหนังบู๊ทั่วไป
จนถึงช่วงท้ายที่เขาจะไปช่วยเด็กหญิงคนนั้น
มือของพระเอกขาด
ผู้ร้ายก็เดินย่างขุมเข้ามา
“หนอน” ที่เคยช่วยสมานอวัยวะที่ขาดให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเริ่มหมดประสิทธิภาพ
เชื่อมประสานได้ช้าลง
วินาทีที่เขาเร่งเจ้าหนอนให้ช่วยเชื่อมมือกับแขนให้เป็นปกติ
หญิงชราคนนั้นก็มานั่งใกล้ๆ แล้วตั้งคำถามว่า “ไหนว่าอยากจะตาย”
เป็นคำถามที่มาถูกที่ถูกเวลาอย่างยิ่ง
คนที่เคยอยากตายแต่ไม่ตาย
แต่ในวินาทีนั้นที่ “ความตาย” เข้ามาใกล้
เขาน่าจะดีใจ
แต่ทำไมเขาเลือกปฏิเสธ
คำตอบก็คือ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
จากคนที่โดดเดี่ยว เหงา และใช้ชีวิตไปวันๆ
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นได้สร้างสายใยแห่งความผูกพันขึ้นในใจเขา
เมื่อมีคนที่เราเป็นห่วง
เมื่อมีคนที่รักเรา
“ความตาย” ที่เคยโหยหา
ก็กลายเป็นสิ่งที่เขาวิ่งหนี
เพราะ “ชีวิต” ในวันนี้มี “ความหมาย”