ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอนที่ 4 “เรียนรู้ความรัก กับ ลีโอ บุสคาเลีย”
ลีโอ บุสคาเกลีย นักจิตวิทยาด้านความรักคนสำคัญที่เชื่อมั่นว่าความรักเป็นสิ่งที่พัฒนาได้
ความรักไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูปที่มีอยู่แต่ก่อนมา มนุษย์ไม่ได้มาซึ่ง-ความรัก แต่มนุษย์ได้มาซึ่ง-ศักยภาพที่จะรัก
แต่ด้วยสาเหตุที่มันเป็นศักยภาพนั่นเอง ตราบใดที่เราไม่ลงแรง ไม่ออกแรงกระทำ ไม่กระตุ้นปลุกเร้ามัน ศักยภาพนั้นก็สูญเปล่า
ลีโอ บุสคาเกลีย เปิดสอนวิชาที่ว่าด้วย “ความรัก” ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กลีย์ แต่ในวิชานั้นไม่มีการเรียนการสอน มีแต่การแบ่งปันประสบการณ์ที่ว่าด้วยความรักร่วมกัน
ลีโอเรียนรู้เรื่องความรักจากนักศึกษาของเขา และนักศึกษาของเขาก็เรียนรู้เรื่องความรักผ่านทางประสบการณ์ของครูที่ชื่อลีโอ
สิ่งแรกสุดที่เราจะเริ่มพัฒนาความรักในตัวของเราได้ในความเห็นของลีโอ บุสคาเกลีย คือการหันมามองตนเอง คือการหันมาประจักษ์ในคุณค่าของตนเอง
มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความพิเศษเฉพาะมนุษย์ทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียวในตัวเอง เราไม่เหมือนกับใคร และไม่มีใครเหมือนกับเรา
นั่นคือความอัศจรรย์ของชีวิต
และเนื่องจากเรามีความพิเศษที่ว่านั้น เราจึงสามารถแบ่งปันความพิเศษดังกล่าวให้กับบุคคลอื่นได้
ความพิเศษที่ว่านี้สามารถงอกงามและเพิ่มพูนได้ไม่สิ้นสุดไม่ว่าเราจะแบ่งปันมันให้กับบุคคลอื่นมากเพียงใด
เขายกตัวอย่างนิทานในศาสนาซูฟีที่ตัวเอกชื่อนัสรูดิน คืนวันหนึ่งเพื่อนบ้านเห็นนัสรูดินกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ใต้แสงตะเกียงที่จุดอยู่บนท้องถนน เขาจึงถามนัสรูดินว่านัสรูดินกำลังทำอะไร
นัสรูดินตอบว่าเขากำลังมองหากุญแจกล่องเงินที่พกติดตัวหายไป
เพื่อนบ้านจึงช่วยกันค้นหากุญแจที่ว่านั้น
หลังผ่านไปหลายชั่วโมง การค้นหากุญแจล้มเหลว เพื่อนบ้านจึงถามนัสรูดินว่าเขาทำกุญแจหายที่ใด นัสรูดินตอบว่าเขาทำกุญแจหายในบ้านเมื่อหัวค่ำ
“แล้วถ้าเช่นนั้นทำไมท่านมาหากุญแจที่นี่เล่า?”
นัสรูดินตอบว่า “เพราะที่นี่สว่างกว่าในบ้านของผมมากนัก”
ฟังดูคำตอบที่ว่านี้ช่างชวนขบขันเอามากๆ แต่ลีโอบอกว่านี่คือความเป็นจริงที่เราส่วนใหญ่มักใช้ปฏิบัติต่อความรัก
เรามักแสวงหาสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเราจากภายนอกตนเอง ทั้งที่สิ่งสำคัญเหล่านั้นดำรงอยู่ในตัวของเราเสมอมา
การค้นพบสิ่งสำคัญที่ว่าเหล่านั้น เรายืมมือบุคคลอื่นไม่ได้ เราใช้บุคคลอื่นให้กระทำการแทนไม่ได้ มีแต่การลงแรงด้วยตนเองเท่านั้นที่จะทำให้เราค้นพบในสิ่งสำคัญที่ว่า
ไม่ว่าเราจะหลีกหนีไปยังอารามโดดเดี่ยวในทิเบต ถ้ำไร้ผู้คนในแอฟริกา หรือดินแดนทะเลทรายในตะวันออกกลาง ทุกครั้งที่เราส่องกระจก เราก็จะพบเห็นแต่ตนเองเท่านั้น เราอยู่กับความโดดเดี่ยวของเรา อยู่กับความสับสนของเรา อยู่กับความเจ็บปวดของเรา อยู่กับความสุข อยู่กับความทุกข์ของเรา
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่รอการค้นพบไม่ได้อยู่ในที่อื่นเลย มันอยู่ในตัวเรา อยู่ในตัวเรานับแต่เดิมมา
ดังนั้น ถ้าเรามองเข้าไปในตัวเรา อะไรเล่าคืออุปสรรค
ลีโอ บุสคาเกลีย บอกว่าการมองเห็นแต่ร่างกายของตนเองนั้นคืออุปสรรคข้อแรก
เราเสียเวลากับการเลือกยี่ห้อของยาสีฟัน ยี่ห้อของแชมพูสระผม ยี่ห้อของเสื้อผ้า ยี่ห้อของน้ำมันรถยนต์ ยี่ห้อของรถยนต์ ของอื่นและอื่นไม่สิ้นสุด
ทั้งที่ร่างกายเป็นเพียงพาหนะให้เราไปกระทำการบางสิ่งในแต่ละวันเท่านั้นเอง เราใช้ร่างกายไปในกิจการและกิจกรรมต่างๆ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ร่างกาย การมีความสงบสุขในจิตใจต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญ การมีความรู้สึกเป็นปีติสุขต่างหากที่สำคัญ
ในแง่นี้ความเห็นของลีโอพ้องเคียงกับแนวคิดในศาสนาพุทธว่าร่างกายเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้นในการแสวงหาความจริงที่สูงส่งกว่าการใช้ชีวิตทั่วไป
และเราอาจกล่าวได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของความสงบสุขในแบบที่ลีโอ บุสคาเกลีย พยายามเสนอก็คือนิพพานหรือนิรวาณอันหมายถึงการไปพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ลีโอ บุสคาเกลีย ยังเสนออีกว่า สำหรับการมีความสงบสุขได้นั้น
เราจำเป็นต้องเริ่มที่จะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เราจำเป็นจะต้องเริ่มมีชีวิตอยู่กับนาทีนี้ วินาทีนี้
คนที่จะเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบได้ต้องอยู่กับปัจจุบัน อดีตผ่านพ้นไปแล้ว จบสิ้นไปแล้ว พวกเราแก้ไขอะไรมันไม่ได้อีกต่อไป อดีตมีข้อดีตรงที่มันนำพาเรามาจนถึงความเป็นเราในปัจจุบันนี้ แต่เราแก้ไขอดีตไม่ได้ ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอดีตได้
ส่วนอนาคตนั้นเล่า ก็เป็นสิ่งสวยหรูที่เราอาจมีความคาดหวังกับมัน แต่มันก็ยังไม่มาถึง
อนาคตไม่ว่าจะสวยงามเพียงใด มันก็หาใช่ความจริงที่จับต้องได้ มีแต่ปัจจุบันเบื้องหน้าเราเท่านั้นที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำการร่วมกับมันได้
การจะเห็นคุณค่าของปัจจุบันได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องพิจารณาให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า-ความตาย-
ความตายเป็นสิ่งที่สามารถอุบัติขึ้นได้อย่างฉับพลันทันด่วนและไม่จำเป็นต้องมีการตักเตือนเราล่วงหน้า
ความตายเป็นสิ่งที่บอกเราว่าชีวิตนี้ไม่ได้เป็นนิรันดร์
ลีโอทดลองให้โจทย์กับนักศึกษาของเขาโดยการขอให้พวกเขาเขียนสิ่งที่เขาอยากกระทำหากว่าเขาถูกกำหนดให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ได้อีกเพียงห้าวันเท่านั้น นักศึกษาหลายคนให้คำตอบที่ธรรมดาสามัญมาก อาทิ การไปกินขนมเค้กที่ร้านดังหรือลองหัดเล่นกีฬาบางชนิด
คำตอบเหล่านั้น ลีโอจะเขียนความเห็นแนบท้ายว่า “ถ้ามันง่ายๆ ธรรมดาสามัญเช่นนั้นทำไมคุณถึงไม่ลงมือทำมันเสียแต่วันนี้เล่า”
ปัญหาข้อหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับความตาย โดยเฉพาะในคนยุคปัจจุบันคือการที่มีสิ่งปิดบังเราไม่ให้เห็นและตระหนักในความตายมากมายเหลือเกิน
และน่าสนใจที่ว่า สิ่งที่ปิดบังและปกปิดเราไม่ให้เราตระหนักต่อความตายก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ปกปิดและปิดบังเราไม่ให้เห็นชีวิตด้วยเช่นกัน เรามีครอบครัว มีทรัพย์สิน มีหลายสิ่งหลายอย่าง
แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ เรามักไม่มีเวลาเพียงพอที่จะชื่นชมในสิ่งเหล่านั้น
ลีโอเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาได้พบกับแม่ที่ทำงานหนักและต้องใช้วิธีสื่อสารทางเทคโนโลยีเพื่อติดต่อกับลูกของตนแทน
แม่ผู้นั้นแทบจะลืมความรู้สึกสุดท้ายของการกอดลูกตนเองไปแล้ว
ทว่าหลังฟังคำบรรยายของลีโอ แม่ผู้นั้นออกจากที่ประชุมขับรถกลับไปที่บ้านในเวลากลางดึก ปลุกลูกขึ้น เธอพบว่าลูกของเธอโตขึ้นมาก
เธอกอดลูกของเธอ และบอกลูกว่า “ไม่ต้องพูดอะไร ขอให้แม่ได้อยู่กับลูกก็พอ”
การเห็นคุณค่าของชีวิตนั้นเป็นรากฐานของการพัฒนาศักยภาพที่จะรักและมอบความรักให้กับผู้อื่น ลีโอ บุสคาเกลีย ได้ให้หลักการสิบข้อสำหรับการพัฒนาศักยภาพดังกล่าวไว้ตามนี้
1. จงแสวงหาความรู้เกี่ยวกับชีวิตอยู่เสมอ
2. จงยึดมั่นอยู่กับปัจจุบัน
3. จงหมั่นฝึกฝนความเห็นใจและความกรุณาต่อบุคคลอื่น
4. จงหมั่นยอมรับความเป็นไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในด้านดีหรือด้านร้ายก็ตามที
5. จงหมั่นมองโลกด้วยมุมมองใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ
6. จงพยายามขจัดความหวาดกลัวที่มีในจิตใจ การได้เผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
7. จงพยายามรักษาความสงบสุขในตนเองอยู่เสมอ
8. จงหมั่นหล่อเลี้ยงความเบิกบาน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไว้ในตน ผู้ที่แจ่มใสจะมอบความแจ่มใสให้กับผู้อื่นได้
9. จงปลูกความรักที่จะมีให้แก่บุคคลรอบข้าง การให้ความรักและความกรุณาไม่ว่าในสถานะใดแก่บุคคลอื่นเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
10. จงแลเห็นความเป็นมาระลึกถึงรากเหง้าของตนเองอยู่เสมอ การรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใดก็ตาม จะทำให้เรามีความสงบสันติในจิตใจ