อนุสรณ์ ติปยานนท์ : “เรียนรู้ความรัก กับ ลีโอ บุสคาเลีย”

ครึ่งหนึ่งของชีวิต ตอนที่ 4 “เรียนรู้ความรัก กับ ลีโอ บุสคาเลีย”

ลีโอ บุสคาเกลีย นักจิตวิทยาด้านความรักคนสำคัญที่เชื่อมั่นว่าความรักเป็นสิ่งที่พัฒนาได้

ความรักไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูปที่มีอยู่แต่ก่อนมา มนุษย์ไม่ได้มาซึ่ง-ความรัก แต่มนุษย์ได้มาซึ่ง-ศักยภาพที่จะรัก

แต่ด้วยสาเหตุที่มันเป็นศักยภาพนั่นเอง ตราบใดที่เราไม่ลงแรง ไม่ออกแรงกระทำ ไม่กระตุ้นปลุกเร้ามัน ศักยภาพนั้นก็สูญเปล่า

ลีโอ บุสคาเกลีย เปิดสอนวิชาที่ว่าด้วย “ความรัก” ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กลีย์ แต่ในวิชานั้นไม่มีการเรียนการสอน มีแต่การแบ่งปันประสบการณ์ที่ว่าด้วยความรักร่วมกัน

ลีโอเรียนรู้เรื่องความรักจากนักศึกษาของเขา และนักศึกษาของเขาก็เรียนรู้เรื่องความรักผ่านทางประสบการณ์ของครูที่ชื่อลีโอ

สิ่งแรกสุดที่เราจะเริ่มพัฒนาความรักในตัวของเราได้ในความเห็นของลีโอ บุสคาเกลีย คือการหันมามองตนเอง คือการหันมาประจักษ์ในคุณค่าของตนเอง

มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความพิเศษเฉพาะมนุษย์ทุกคนมีความเป็นหนึ่งเดียวในตัวเอง เราไม่เหมือนกับใคร และไม่มีใครเหมือนกับเรา

นั่นคือความอัศจรรย์ของชีวิต

และเนื่องจากเรามีความพิเศษที่ว่านั้น เราจึงสามารถแบ่งปันความพิเศษดังกล่าวให้กับบุคคลอื่นได้

ความพิเศษที่ว่านี้สามารถงอกงามและเพิ่มพูนได้ไม่สิ้นสุดไม่ว่าเราจะแบ่งปันมันให้กับบุคคลอื่นมากเพียงใด

เขายกตัวอย่างนิทานในศาสนาซูฟีที่ตัวเอกชื่อนัสรูดิน คืนวันหนึ่งเพื่อนบ้านเห็นนัสรูดินกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ใต้แสงตะเกียงที่จุดอยู่บนท้องถนน เขาจึงถามนัสรูดินว่านัสรูดินกำลังทำอะไร

นัสรูดินตอบว่าเขากำลังมองหากุญแจกล่องเงินที่พกติดตัวหายไป

เพื่อนบ้านจึงช่วยกันค้นหากุญแจที่ว่านั้น

หลังผ่านไปหลายชั่วโมง การค้นหากุญแจล้มเหลว เพื่อนบ้านจึงถามนัสรูดินว่าเขาทำกุญแจหายที่ใด นัสรูดินตอบว่าเขาทำกุญแจหายในบ้านเมื่อหัวค่ำ

“แล้วถ้าเช่นนั้นทำไมท่านมาหากุญแจที่นี่เล่า?”

นัสรูดินตอบว่า “เพราะที่นี่สว่างกว่าในบ้านของผมมากนัก”

 

ฟังดูคำตอบที่ว่านี้ช่างชวนขบขันเอามากๆ แต่ลีโอบอกว่านี่คือความเป็นจริงที่เราส่วนใหญ่มักใช้ปฏิบัติต่อความรัก

เรามักแสวงหาสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเราจากภายนอกตนเอง ทั้งที่สิ่งสำคัญเหล่านั้นดำรงอยู่ในตัวของเราเสมอมา

การค้นพบสิ่งสำคัญที่ว่าเหล่านั้น เรายืมมือบุคคลอื่นไม่ได้ เราใช้บุคคลอื่นให้กระทำการแทนไม่ได้ มีแต่การลงแรงด้วยตนเองเท่านั้นที่จะทำให้เราค้นพบในสิ่งสำคัญที่ว่า

ไม่ว่าเราจะหลีกหนีไปยังอารามโดดเดี่ยวในทิเบต ถ้ำไร้ผู้คนในแอฟริกา หรือดินแดนทะเลทรายในตะวันออกกลาง ทุกครั้งที่เราส่องกระจก เราก็จะพบเห็นแต่ตนเองเท่านั้น เราอยู่กับความโดดเดี่ยวของเรา อยู่กับความสับสนของเรา อยู่กับความเจ็บปวดของเรา อยู่กับความสุข อยู่กับความทุกข์ของเรา

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่รอการค้นพบไม่ได้อยู่ในที่อื่นเลย มันอยู่ในตัวเรา อยู่ในตัวเรานับแต่เดิมมา

ดังนั้น ถ้าเรามองเข้าไปในตัวเรา อะไรเล่าคืออุปสรรค

ลีโอ บุสคาเกลีย บอกว่าการมองเห็นแต่ร่างกายของตนเองนั้นคืออุปสรรคข้อแรก

เราเสียเวลากับการเลือกยี่ห้อของยาสีฟัน ยี่ห้อของแชมพูสระผม ยี่ห้อของเสื้อผ้า ยี่ห้อของน้ำมันรถยนต์ ยี่ห้อของรถยนต์ ของอื่นและอื่นไม่สิ้นสุด

ทั้งที่ร่างกายเป็นเพียงพาหนะให้เราไปกระทำการบางสิ่งในแต่ละวันเท่านั้นเอง เราใช้ร่างกายไปในกิจการและกิจกรรมต่างๆ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ร่างกาย การมีความสงบสุขในจิตใจต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญ การมีความรู้สึกเป็นปีติสุขต่างหากที่สำคัญ

ในแง่นี้ความเห็นของลีโอพ้องเคียงกับแนวคิดในศาสนาพุทธว่าร่างกายเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้นในการแสวงหาความจริงที่สูงส่งกว่าการใช้ชีวิตทั่วไป

และเราอาจกล่าวได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของความสงบสุขในแบบที่ลีโอ บุสคาเกลีย พยายามเสนอก็คือนิพพานหรือนิรวาณอันหมายถึงการไปพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

 

ลีโอ บุสคาเกลีย ยังเสนออีกว่า สำหรับการมีความสงบสุขได้นั้น

เราจำเป็นต้องเริ่มที่จะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เราจำเป็นจะต้องเริ่มมีชีวิตอยู่กับนาทีนี้ วินาทีนี้

คนที่จะเป็นคนรักที่สมบูรณ์แบบได้ต้องอยู่กับปัจจุบัน อดีตผ่านพ้นไปแล้ว จบสิ้นไปแล้ว พวกเราแก้ไขอะไรมันไม่ได้อีกต่อไป อดีตมีข้อดีตรงที่มันนำพาเรามาจนถึงความเป็นเราในปัจจุบันนี้ แต่เราแก้ไขอดีตไม่ได้ ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอดีตได้

ส่วนอนาคตนั้นเล่า ก็เป็นสิ่งสวยหรูที่เราอาจมีความคาดหวังกับมัน แต่มันก็ยังไม่มาถึง

อนาคตไม่ว่าจะสวยงามเพียงใด มันก็หาใช่ความจริงที่จับต้องได้ มีแต่ปัจจุบันเบื้องหน้าเราเท่านั้นที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำการร่วมกับมันได้

การจะเห็นคุณค่าของปัจจุบันได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องพิจารณาให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า-ความตาย-

ความตายเป็นสิ่งที่สามารถอุบัติขึ้นได้อย่างฉับพลันทันด่วนและไม่จำเป็นต้องมีการตักเตือนเราล่วงหน้า

ความตายเป็นสิ่งที่บอกเราว่าชีวิตนี้ไม่ได้เป็นนิรันดร์

ลีโอทดลองให้โจทย์กับนักศึกษาของเขาโดยการขอให้พวกเขาเขียนสิ่งที่เขาอยากกระทำหากว่าเขาถูกกำหนดให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้ได้อีกเพียงห้าวันเท่านั้น นักศึกษาหลายคนให้คำตอบที่ธรรมดาสามัญมาก อาทิ การไปกินขนมเค้กที่ร้านดังหรือลองหัดเล่นกีฬาบางชนิด

คำตอบเหล่านั้น ลีโอจะเขียนความเห็นแนบท้ายว่า “ถ้ามันง่ายๆ ธรรมดาสามัญเช่นนั้นทำไมคุณถึงไม่ลงมือทำมันเสียแต่วันนี้เล่า”

ปัญหาข้อหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับความตาย โดยเฉพาะในคนยุคปัจจุบันคือการที่มีสิ่งปิดบังเราไม่ให้เห็นและตระหนักในความตายมากมายเหลือเกิน

และน่าสนใจที่ว่า สิ่งที่ปิดบังและปกปิดเราไม่ให้เราตระหนักต่อความตายก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ปกปิดและปิดบังเราไม่ให้เห็นชีวิตด้วยเช่นกัน เรามีครอบครัว มีทรัพย์สิน มีหลายสิ่งหลายอย่าง

แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ เรามักไม่มีเวลาเพียงพอที่จะชื่นชมในสิ่งเหล่านั้น

ลีโอเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาได้พบกับแม่ที่ทำงานหนักและต้องใช้วิธีสื่อสารทางเทคโนโลยีเพื่อติดต่อกับลูกของตนแทน

แม่ผู้นั้นแทบจะลืมความรู้สึกสุดท้ายของการกอดลูกตนเองไปแล้ว

ทว่าหลังฟังคำบรรยายของลีโอ แม่ผู้นั้นออกจากที่ประชุมขับรถกลับไปที่บ้านในเวลากลางดึก ปลุกลูกขึ้น เธอพบว่าลูกของเธอโตขึ้นมาก

เธอกอดลูกของเธอ และบอกลูกว่า “ไม่ต้องพูดอะไร ขอให้แม่ได้อยู่กับลูกก็พอ”

 

การเห็นคุณค่าของชีวิตนั้นเป็นรากฐานของการพัฒนาศักยภาพที่จะรักและมอบความรักให้กับผู้อื่น ลีโอ บุสคาเกลีย ได้ให้หลักการสิบข้อสำหรับการพัฒนาศักยภาพดังกล่าวไว้ตามนี้

1. จงแสวงหาความรู้เกี่ยวกับชีวิตอยู่เสมอ

2. จงยึดมั่นอยู่กับปัจจุบัน

3. จงหมั่นฝึกฝนความเห็นใจและความกรุณาต่อบุคคลอื่น

4. จงหมั่นยอมรับความเป็นไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในด้านดีหรือด้านร้ายก็ตามที

5. จงหมั่นมองโลกด้วยมุมมองใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ

6. จงพยายามขจัดความหวาดกลัวที่มีในจิตใจ การได้เผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะทำให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น

7. จงพยายามรักษาความสงบสุขในตนเองอยู่เสมอ

8. จงหมั่นหล่อเลี้ยงความเบิกบาน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไว้ในตน ผู้ที่แจ่มใสจะมอบความแจ่มใสให้กับผู้อื่นได้

9. จงปลูกความรักที่จะมีให้แก่บุคคลรอบข้าง การให้ความรักและความกรุณาไม่ว่าในสถานะใดแก่บุคคลอื่นเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

10. จงแลเห็นความเป็นมาระลึกถึงรากเหง้าของตนเองอยู่เสมอ การรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใดก็ตาม จะทำให้เรามีความสงบสันติในจิตใจ