มนัส สัตยารักษ์ : คุยเรื่องกาสิโนอีกหน

ผมพูดถึง “บ่อนกาสิโน” ในพื้นที่นี้ตั้งแต่ฉบับที่ 1964 ถึง 1968 (ต้นเมษายน-พฤษภาคม) รวม 5 ฉบับติดต่อกัน

เป้าหมายของผมก็คือ ต้องการให้ประเทศของเราเปิดกาสิโนถูกกฎหมายเหมือนสลากกินแบ่งรัฐบาลเสียที

เหตุผลอย่างรวบรัดก็คือ รอบบ้านเขาเปิดกันหมด ทำให้ไทยตกเป็นชาติเสียเปรียบทางเศรษฐกิจอยู่กลางวงล้อม

คนไทยส่วนหนึ่งตกเป็นเหยื่อน่าสังเวช ในขณะที่นายทุนมาเฟียไทยได้ผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำโดยไม่ต้องจ่ายภาษี

หลังจากนั้นเพียง 4 เดือน (ปลายกรกฎาคม) ก็มีข่าวสมาชิกวุฒิสภาญี่ปุ่นผ่านร่างกฎหมายอนุมัติการจัดตั้ง “กาสิโนรีสอร์ต” หลังจากสภาผู้แทนราษฎรให้การอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน

ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่นักลงทุนเตรียมบุกญี่ปุ่น หากโชคดีก็อาจจะทันก่อนมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ซึ่งญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ เท่ากับมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาโดยปริยาย

นักลงทุนที่ว่านั่นก็คือบริษัทธุรกิจการพนันและบริษัทขายความบันเทิงต่างๆ ทั้งจากลาส เวกัส และเอ็มจีเอ็ม รีสอร์ต รวมทั้งการลงทุนด้านอื่นๆ ที่พลอยได้อานิสงส์ตามไปด้วย

รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่าการเปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมายจะทำให้ญี่ปุ่นสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้น เป็นการสร้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค

ญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศเดียวที่ไม่มีกาสิโนถูกกฎหมาย โดดเดี่ยวคล้ายประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนบ้านที่เปิดบ่อนกาสิโนกันครึกโครม (ฮา)

ญี่ปุ่นยังคล้ายไทยในเรื่องการต่อต้านกาสิโน นั่นคือถูกต่อต้านอย่างหนักจากนักการเมืองฝ่ายค้าน เหตุผลก็คล้ายๆ กัน กล่าวคือ…เป็นเมืองพุทธ เมืองที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่เป็นของตัวเอง เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการพนัน

การพนันเป็นอบายมุข เกรงว่าประชาชนจะติดการพนันมากขึ้น และเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในญี่ปุ่นคัดค้าน 62% มีที่เห็นด้วยเพียง 22% เท่านั้น ส่วนอีก 16% ไม่แน่ใจ ทางด้าน NHK สำรวจพบว่าคนไม่เห็นด้วยมากกว่าถึง 3 เท่า หรือ 75%

ส่วนในประเทศไทย เท่าที่ทราบไม่มีการสำรวจ ด้วยว่าแค่มีการเสนอประเด็นนี้ขึ้นมาก็โดนประณามยับเยิน โดยเฉพาะตำรวจถูกด่าไปฟรีๆ เพราะเข้าใจผิดว่าตำรวจเป็นคนเสนอเพื่อเก็บค่าต๋ง

ความจริงแล้ว ครั้งล่าสุดสมาชิกสภาปฏิรูป (สปช.) 12 คนเป็นผู้เสนอ ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ในฐานะเป็น สปช. (ที่นอกเหนือจาก 12 คน) ต่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สนับสนุนเท่านั้น

ญี่ปุ่นคงเปิดกาสิโนในรูปแบบ “ครบวงจร” ที่เรียกว่ากาสิโน เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ มีภัตตาคาร ร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์ประชุม พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น แบบเดียวกับที่สิงคโปร์ประสบความสำร็จมาแล้ว

ญี่ปุ่นจะเปิดกาสิโนรีสอร์ต ทั้งที่ในบ้านเมืองของเขาก็มีล็อตเตอรี่ถูกกฎหมายที่ได้รับความนิยมไม่น้อย นอกจากนั้นมีการพนันคล้ายสล็อต แมชชีน จากตู้ “ปาจิงโกะ” (Pachinko) ซึ่งคล้ายตู้เกมในสมัยก่อน ตู้นี้มีมานานแล้ว ใช้เงินสดซื้อเหรียญจากเจ้ามือหรือเจ้าของเครื่อง แม้จะมีเงินหมุนเวียนสูง แต่รัฐแทบจะไม่ได้อะไรเลย

เชื่อว่านายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวอย่างมากในการเสนอกฎหมายกาสิโน เพราะโอกาสที่จะแพ้เสียงในรัฐสภาก็มีอยู่สูง คนในพรรครัฐบาลเองก็ยังคัดค้าน และถ้าแพ้ก็ต้องยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่

แต่ญี่ปุ่นตระหนักรู้หรือรู้จักตัวเองดีว่าประเทศของเขากำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ จีนกำลังแย่งความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และทั้งจีนและเกาหลีใต้กำลังเบียดแซงความสามารถทางเทคโนโลยียุคใหม่

นอกจากนั้น ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติหนักกว่าชาติอื่น ทั้งเรื่องโรงไฟฟ้าปรมาณู สึนามิ แผ่นดินไหว วาตภัยและน้ำท่วมใหญ่

แต่ชินโสะ อาเบะ ในฐานะผู้นำ เขาคิดว่าประเทศชาติและผู้คนในชาติต้องอยู่รอดก่อน เขาจึงกล้าเสี่ยง เขาไม่กลัวเลือกตั้ง

ในที่สุดญี่ปุ่นก็ผ่านกำแพงโบราณไปจนได้

เหตุผลเพื่อใช้อ้างในการต่อต้านกาสิโนของเมืองไทยมีมากกว่าญี่ปุ่น ดังที่ผมเขียนสาธยายมาถึง 5 ตอน นอกจากนั้นยังมีเพิ่มเติมมากกว่าญี่ปุ่นด้วย “วาทกรรมศรีธนญชัย” กับ “ตรรกะเพี้ยนๆ” ทำนองเดียวกับความคิดที่ว่า “การขุดคอคอดกระเป็นการแบ่งประเทศไทยออกเป็น 2 ส่วน”

ครั้งที่ผมยังเป็นตำรวจเด็กๆ เรามีกฎหมาย “ปรามโสเภณี” ใช้คำว่าปรามแทนที่จะใช้คำว่าปราบ ทั้งนี้ เพราะต้องยอมรับว่าโสเภณีเป็นของจำเป็นต้องมี ต่อมาก็คิดกันได้ว่า ถ้ามีกฎหมายชื่อนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าประเทศเรามีโสเภณี (น่าอับอาย) เราเลี่ยงไปใช้ “มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก” ซึ่งฟังดูป่าเถื่อนและโหดกว่า

ท้ายที่สุดจึงมีกฎหมายชื่อ “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์”

ผลจากการใช้ภาษาไทยอย่างศรีธนญชัย ไทยเราจึงมีชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกว่า “กรุงเทพฯ เมืองเซ็กซ์” (ฮา-ฮา)

ในกรณีของกาสิโนนี้ก็เช่นกัน…

ประเทศไทยได้ชื่อว่าไม่มีบ่อนกาสิโน เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรม สมใจคนรักบุคลิกตัวเอง อย่าง พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ คนชอบสร้างภาพขาวสะอาดอย่างนายชวน หลีกภัย หรือคนธรรมะธัมโมแบบหัวชนฝาอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

ขณะเดียวกันก็สมใจมาเฟียที่ลักลอบเปิดบ่อนแบบไทย-ไทยด้วย

นายกรัฐมนตรีหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหา พอมีการจับกุมเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมาก็แค่ย้าย 5 เสือตำรวจโรงพักท้องที่เสียเท่านั้น

ประเทศของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 หรือสมัยเมจิ เราไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจเลย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็พูดย้ำอยู่ทุกวันถึงตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจ สิงคโปร์และญี่ปุ่นหลงผิดจนแตกตื่นไปเอง?

ในฐานะคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เราอาจจะเห็นได้ว่าการพนันก็เหมือนเกษตรกรรม อะไรที่ทุ่มเทระดมปลูกกันมากๆ ราคาก็จะฝ่อไปเหมือนยางพารา การพนันก็เช่นกัน สนามแข่งม้าก็ปิดกิจการไปแล้วค่อนโลก ในเรือสำราญคนก็ล่นการพนันกันน้อย ยังดีที่มีสิ่งบันเทิงอื่นดึงดูดนักท่องเที่ยวไว้ได้ อีกมุมหนึ่งของบ่อนในสิงคโปร์ใช้เป็นที่ประชุมสันติภาพโลกระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนือ!

ในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านยังมีลูกค้าชุกชุม ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ทางการบ้านเมืองคง “ตัดหางปล่อยวัด” ไปแล้ว

รัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลสิงคโปร์หรือรัฐบาลญี่ปุ่น เราพอใจจะเดินตามหลังเขมรและเมียนมา เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องแก้ปัญหาแบบ “โค่นยางทิ้ง”

และด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกล ขออย่าได้คิดหรือพูดว่าไทยจะเป็น HUB ของ AEC อีกเลย