ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
ผู้เขียน | จรัญ มะลูลีม |
เผยแพร่ |
จากการรณรงค์ก่อนการเลือกตั้ง จนถึงการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของมาเลเซีย
มหฎิรมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ “สร้าง” นาญิบขึ้นมา และเช่นกันเขาเป็นคนที่เอานาญิบลงมาจากตำแหน่ง เขากล่าวกับ Time ว่า
“ผู้คนที่พูดถึงผมว่าเป็นเผด็จการ ส่งคนเข้าคุกนั้น เวลานี้พวกเขาขอให้ผมเป็นผู้นำของพวกเขา” เขากล่าวพร้อมกับหัวเราะ
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าพวกฝ่ายค้านจะให้การยอมรับผม และผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าผมจะให้การยอมรับพวกเขา แต่พวกเขาต่อต้านนาญิบกันอย่างมาก และพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นความต้องการมากกว่าความแตกต่างที่เราเคยมีกันมาก่อน ดังนั้น เวลานี้ผมจึงอยู่กับพวกเขา และพวกเขาก็อยู่กับผม”
เมื่อ Time ถามมหฎิรในวันที่ 7 พฤศจิกายน ระหว่างหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งว่าทำไมเขาจึงกลับมาอีกในวัย 93 ปี และโจมตีพรรคของรัฐบาลที่ตัวเขาสร้างมากับมือ?
มหฎิรตอบว่า
“ผมคิดว่าผมน่าจะเกษียณแล้ว แต่เกือบจะทันทีที่ผมลงจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีที่เข้ามารับตำแหน่ง (อับดุลลอฮ์ บิน ฮัจญ์ อะห์มัด บาดาวี) ได้หลุดไปจากแนวทางที่วางเอาไว้ ดังนั้น ในที่สุดผมก็ออกมาจากพรรคและรณรงค์ต่อต้านเขา แล้วเขาก็ถูกแทนโดยนายกฯ คนปัจจุบัน (นาญิบ รอซัก) ผู้ที่ผมคิดว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีเพราะบิดาของเขา (อับดุร รอซัก) เป็นผู้นำที่เป็นแบบอย่าง ประชาชนรักเขา ผมคิดว่าเขาจะเป็นเหมือนบิดาของเขา แต่เขาต่างจากบิดาของเขาโดยสิ้นเชิง เขาเชื่อว่าด้วยการใช้เงิน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่มีอะไรเลยจนต้องตัดสินใจขโมยเงิน อันเป็นเงินที่ค่อนข้างจะมีจำนวนมหาศาล ตัวแทนต่างๆ มาพบผม (แล้วขอให้) ผมกระทำบางอย่าง”
“ผมพยายามจะแนะนำนาญิบแต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดผมจึงได้ตัดสินใจว่าผมจะต่อต้านเขา”
เมื่อ Time ถามว่าผลโพลชี้ให้เห็นว่าผู้ลงคะแนนกล่าวว่าพวกเขาสนใจเรื่องเศรษฐกิจมิใช่ 1MDB แต่ท่านย้ำว่ามันเกี่ยวโยงกัน ในเรื่องนี้มหฎิรตอบว่า
ระดับการคอร์รัปชั่นโดยนายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่ในพื้นที่ต่างๆ ของชนบทพวกเขาไม่อาจเข้าใจถึงเงินก้อนใหญ่นี้ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาเข้าใจก็คือพวกเขากำลังมีชีวิตที่เลวร้ายเพราะราคาสิ่งของเพิ่มขึ้น มีการนำเอาภาษีใหม่มาใช้
พวกเขาไม่อาจได้ทุนการศึกษาสำหรับลูกหลาน และลูกหลานของพวกเขาก็ไม่สามารถหางานทำได้ รัฐบาลในเวลานี้มีเงินมากกว่าในสมัยของผมมากกว่าสามเท่าเพราะเศรษฐกิจค่อนข้างดี
แต่เงินกระจายไปในที่อื่นๆ และถูกขโมยโดยนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จึงขาดเงินกองทุนจนทำให้รัฐบาลต้องใช้ภาษีใหม่ๆ
เมื่อถูกถามว่ามาเลเซียจะวางตัวอย่างไรเพื่อขานรับความเติบโตของจีน
ในเรื่องนี้มหฎิรกล่าวว่า เราอยู่กับจีนมากว่าสองพันปี เราค้าขายกับจีน พวกเขาไม่เคยเข้าพิชิตเรา เมื่อจีนกลายเป็นประเทศที่มีทั้งอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความคิดว่าทะเลจีนใต้เป็นของพวกเขา แน่ละ เรามีหมู่เกาะอยู่ในทะเลจีนใต้ที่เป็นของเรา แต่เราก็หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับพวกเขา
ความจริงก็คือ จีนอยู่ที่นี่และเราก็จะอยู่กับจีน มันไม่ง่าย เราจะพยายามพูดกับพวกเขา รักษาความเป็นมิตรกับพวกเขา
เมื่อถูกถามถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เขาตอบว่า
มาเลเซียเป็นชาติการค้า ซึ่งเป็นแบบนี้มานับร้อยๆ ปีแล้ว แน่นอนว่าสิ่งใดที่มารบกวนตลาดก็จะส่งผลกระทบต่อมาเลเซีย แต่การที่เราทำงานอยู่กับตลาดโลก เราจึงต้องหาทางว่าอะไรมันส่งผลต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเฉพาะอย่างนี้นโยบายเฉพาะอย่างนั้นแล้วก็พยายามจัดวางระเบียบ
ผมรู้สึกไม่มีความสุขในเรื่องที่ว่าจะต้องมีสงครามการค้า เพราะสิ่งนี้จะไม่ทำให้ใครได้อะไร ในอีกทางหนึ่งทุกประเทศจะต้องเปิดตัวอย่างเต็มที่ นั่นคือการมีการค้าเสรีและควรจะมีการแข่งขัน เราไม่อาจแข่งขันกับยุโรป เราต้องการการปกป้องตัวเราเอง
เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเรียกนาญิบว่า “ความผิดพลาด” และท่านรู้สึกแค่ไหนว่านาญิบก็เป็นผลิตผลของบรรยากาศทางการเมืองที่ท่านสร้างมาเอง และก็ได้ผลกำไรจากสิ่งแวดล้อมทางการเมืองอย่างนี้
มหฎิรตอบว่า สิ่งแวดล้อมดังกล่าวมิได้สร้างมาจากผม แม้ว่าผู้คนจะชอบพูดแบบนั้นก็ตาม นี่เป็นระบบที่เรานำเอามาใช้เมื่อเราได้รับเอกราช เรามีระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยของเราจะไม่เสรีเท่ากับสหรัฐ เรามีปัญหาเชื้อชาติ เราจำเป็นต้องจำกัดมิให้ประชาชนมีความเคืองขุ่นต่อกันและกัน แล้วคุณก็สามารถมีอิสระได้
แต่ก็มีข้อจำกัดว่า หากคุณเริ่มก่อความยุ่งยากระหว่างเชื้อชาติ เราก็จะหยุดยั้งการกระทำเช่นนั้น นั่นเป็นระบบที่เรารับมาใช้ ซึ่งในความเป็นจริงก็มาจากสหราชอาณาจักร พวกเขานำเอากฎหมายความมั่นคงภายใน (Internal Security Act) มาใช้เพื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน หยุดการใช้กฎหมายและรัฐสภาพร้อมกับจับกุมประชาชนโดยไม่มีการไต่สวน
การจับกุมโดยไม่มีการไต่สวนถูกนำมาใช้โดยนายกรัฐมนตรีท่านแรก ท่านที่สอง ท่านที่สาม แล้วก็นำมาใช้โดยผมเอง
เมื่อผมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมได้ปล่อยผู้ถูกคุมขังทางการเมืองจำนวนมาก สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้เครดิตสำหรับสิ่งเหล่านี้กับผม
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในฐานะผู้วิจารณ์ตะวันตกหรืออะไรทำนองนี้
เมื่อถูกถามว่าการเปิดกว้างระหว่างประชาธิปไตยของมาเลเซีย พร้อมๆ ไปกับสถาบันต่างๆ ของการเป็นเอกราช จะสามารถป้องกันความเติบโตของนาญิบและความผิดทางด้านการเงินได้หรือไม่?
มหฎิรตอบว่าไม่เลย คนคนนี้ปฏิเสธกฎหมาย สิ่งที่เขาเชื่อก็คือ ด้วยการใช้เงินเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง นาญิบได้ก้าวข้ามการแยกอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ทั้งสามฝ่ายอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ผมคิดว่าเขาให้สินบนกับทุกฝ่าย
เมื่อ Time ถามว่า ตัวของท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปิดกั้นเสรีภาพในมาเลเซีย ท่านคิดว่าความกดดันดังกล่าวเป็นการขัดขวางผลิตภาพของประเทศ และนำไปสู่เรื่องฉาวโฉ่ทางการเงินหรือไม่? มหฎิรตอบว่าไหนล่ะหลักฐาน? ในสมัยของผม ผมถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรืออะไรทำนองนั้น กระนั้นประเทศนี้ก็พัฒนาไปสู่อันดับสูงสุดในระหว่างสมัยของผม
จากประเทศเกษตรกรรมก็เปลี่ยนมาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ถูกเรียกว่าเป็นเสือของเอเชีย เวลานี้หากว่าผมเป็นผู้กดขี่แล้วทำไมประเทศถึงรุ่งเรืองเล่า? ผู้คนก็คงหนีไปแล้ว
แต่พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในมาเลเซีย