“สี จิ้น ผิง” เริ่มสูญเสียสถานะไร้เทียมทาน?

เพียงไม่นานนักหลังจากกลายเป็นผู้นำประเทศตลอดชีวิต ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีนกำลังมองเห็นเปลือกนอกของเขาค่อยๆ แตกออก

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถหยุดยั้งสี จิ้น ผิง ได้ โดยเขาเพิ่งยกเลิกการจำกัดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และประกาศยกเครื่องรัฐบาลอย่างครอบคลุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

ดูเหมือนว่าสีจะสามารถป้องกันการก่อสงครามการค้ากับบรรดานักโฆษณาชวนเชื่อของพรรคการเมืองสหรัฐในการต้อนรับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ประสบความสำเร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่ถือเป็นการสร้างเครดิตให้กับผู้นำตลอดชีวิตที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ

ถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าหลายเรื่องจะเกินความสามารถของประธานาธิบดีจีน ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดหุ้นที่ร่วงลงและกรณีอื้อฉาวเรื่องวัคซีนเด็กทารก

ทั้งหมดสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นภายในประเทศ

ขณะที่ในต่างประเทศ ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางด้านการเงินและการลงทุน มีความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นต่อความทะเยอทะยานของจีน และหลังจากนั้นได้มีการยกระดับสงครามการค้ากับสหรัฐขึ้น

ในตอนแรกจีนปฏิเสธที่จะเชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น

แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องนี้กลายเป็นภาพสะท้อนว่า สิ่งที่สีรับรู้และเข้าใจ กลายเป็นความล้มเหลว

 

ผู้สังเกตการณ์จีนหลายรายระบุว่า การศึกษาการทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสมือนความพยายามที่จะวิพากษ์วิจารณ์บทละครด้วยการดูแค่จากปฏิกิริยาของผู้ชมเท่านั้น

แต่ว่าสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายดังก้องกังวานไปทั่วกรุงปักกิ่ง ในระหว่างสิ่งที่เรียกว่าเป็นความไม่พอใจต่อสีอย่างรวดเร็วในฤดูร้อน ทั้งบทความหลายชิ้นจากนักวิชาการที่มีชื่อเสียงและผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งคำถามต่อทิศทางนโยบายทั้งหมดโดยรวมของเขา การถูกทรัมป์ดัดหลังที่ปรึกษาสูงสุดด้านเศรษฐกิจของเขาที่สร้างความอับอาย และความขัดแย้งในที่สาธารณะเรื่องนโยบายระหว่างธนาคารกลางและกระทรวงการคลังที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก

ทั้งหมดชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกที่ค้นพบใหม่ในเรื่องความสงสัยในตนเองที่คืบคลานเข้ามาสู่ประเทศที่การเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งสู่การเป็นมหาอำนาจของโลก ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดยั้งได้

“สงครามการค้าทำให้จีนถ่อมตนมากยิ่งขึ้น” หวัง อี้ เว่ย ศาสตราจารย์ด้านกิจการระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินในกรุงปักกิ่ง และรองผู้อำนวยการศูนย์ “แนวคิดสี จิ้น ผิง” กล่าว

และว่า “เราควรจะทำตัวโลว์โปรไฟล์” นอกจากนี้ยังแนะนำว่าจีนควรจะคิดใหม่ในเรื่องการนำโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นเรือธงของสี “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ไปปฏิบัติ

 

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนจากอารมณ์ความรู้สึกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อสีโอ้อวดถึงการนำจีนก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางของเวทีโลกในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ และได้รับเสียงสนับสนุนเกือบเป็นเอกฉันท์ในการยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง และเสียงกระซิบกระซาบเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน จากทั้งเจ้าหน้าที่อายุน้อยไปจนถึงแกนนำพรรคอายุมาก ที่ตกตะลึงกับการรวบอำนาจของสีแบบฉับพลันทันใด

ในเดือนพฤษภาคม จีนคาดเดาถึงความยิ่งใหญ่และมั่นใจในตนเองในการเข้าเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ

สีได้ส่งลิ่ว เหอ ที่ปรึกษาสูงสุดด้านเศรษฐกิจไปยังสหรัฐในฐานะผู้แทนส่วนตัว

ลิ่วกลับมาพร้อมกับการประกาศชัยชนะโดยระบุว่า จะไม่มีสงครามการค้าเกิดขึ้นในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ที่เผยแพร่ไปทั่วประเทศ

 

หลังจากนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็เกิดขึ้น ทรัมป์ประกาศกำหนดกำแพงภาษี 50,000 ล้านดอลลาร์ต่อสินค้าจีน ตามด้วยคำขู่ว่าจะยกระดับด้วยการบังคับใช้กำแพงภาษี 25 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ต่อสินค้าจีน ทำให้จีนเตือนสหรัฐว่าอย่า “แบล๊กเมล์” จีนในเรื่องการค้า ขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนทำให้เปราะบางมากขึ้นต่อความเสียหายจากสงครามการค้า ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอาจตัดลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ถึง 0.5 จุด

แต่ในขณะที่สีสูญเสียความสามารถบางส่วนในการสร้างความมั่นใจในหมู่ประชาชนของตนเอง เขากลับมีความสามารถมากขึ้นในการสร้างความกลัว การรณรงค์ปราบปรามการทุจริตของเขาลงโทษเจ้าหน้าที่ไปทั้งสิ้น 1.5 ล้านคน

ยังไม่มีสัญญาณจากภายนอกถึงการต่อต้านสีจากภายในพรรค แม้ว่าทุกคนจะเห็นชัดเจนแล้วว่าสีไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีราคาที่ต้องจ่ายในการที่จะพูดออกมาเช่นนั้น

หรือนี่จะเป็นการสิ้นสุดของจุดเริ่มต้นของสี จิ้น ผิง?