ทวีปที่สาบสูญ “เมื่อคำถามนั้นเรียบง่าย”

จนถึงทุกวันนี้ ที่เล่าเรื่องให้คุณฟัง ฉันยังไม่รู้เลยนะว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้น มันคือสิ่งใด อะไรคือที่ตกกระทบในใจฉัน และความหวั่นไหวเหล่านั้น มันเป็นของจริงหรือเปล่า

สิ่งที่ปรากฏในความทรงจำอีกนานแสนนานต่อมา คือเวลาที่ฉันยืนอยู่หน้าหิ้งวางหม้อน้ำ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก คั่นด้วยลำธารสายเล็กๆ ที่พวกเราลงไปล้างเท้ากันทุกพักเที่ยงและก่อนกลับบ้าน จะเป็นแปลงเพาะต้นกล้ากว้างใหญ่ไพศาล เหยียดยาวไปจนจรดทุ่งข้าวและป่าแพะ

ตรงโน้น ถ้าย่ำแลงค่ำลง เราจะเห็นดวงตะวันตกเหนือยอดต้นตองตึง หากเป็นหน้าฝน ลูกไฟจะลับในแสงหม่นฝ้าขาว หากเป็นหน้าหนาว สีส้มจะจัดจ้ากว่าปกติ

สำหรับวันนั้น…เมื่อหลับตาระลึกถึงมัน ฉันยังคงเห็นภาพฉัน ยืนใจสั่นอยู่ในอ้อมแขนผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

“…เดี๋ยวพี่โสมว่านะคะ”

“ว่าอะไร?”

นัยน์ตาที่อ่านไม่ออกเลย จ้องมองเหมือนต้องการขุดค้นบางสิ่ง

“นึกว่าเรานัดกันแล้วเสียอีกเมื่อคืน”

เมื่อคืน

จริงสิ เมื่อคืนมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

 

ย่างเท้าเข้าเขตวัด ไฟสว่าง เพลงกระหึ่มกึกก้องเร้าใจ หนังยังไม่ฉาย แต่ลานทรายเต็มไปด้วยคน ทุกครอบครัวหอบลูกจูงหลาน ปูเสื่อจองที่ เด็กๆ รั้งชายเสื้อพ่อแม่ขอเงิน พ่อค้าแม่ค้าตั้งโต๊ะขายของ บ้างปูเสื่อวางถาด มีทั้งอ้อยควั่น ถั่วต้ม ผัดหมี่ ลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกแห้งย่าง ส่งกลิ่นหอมหวนทั่วไป

ผู้เฒ่าผู้แก่พาดผ้าเฉียงไหล่ เอาไว้ซับน้ำมูกน้ำตาหรือปัดไล่ยุงแมลง เด็กๆ ได้เงินซื้อขนมก็เที่ยวกินอวดกัน แต่หนุ่มสาวนั้นมักซุ่มซ่อนตามพุ่มไม้ ใต้เงาชายคาพระวิหารบ้าง ลับๆ ล่อๆ คอยส่งสายตาหาคนถูกใจ

หวานมาแล้ว สวมเสื้อสีชมพูดูเด่น สกรีนตัวหนังสือภาษาอังกฤษว่า Love you forever มีรูปลูกศรปักหัวใจ ใบหน้านวลผ่องกว่าทุกวัน

พอเห็นฉันก็รีบปรี่มาหา

“พี่ๆ ทางนี้!”

“ไง หวาน”

ฉันพยักหน้าทัก ตัวเองนั้นสวมแค่เสื้อวอร์มทับตัวข้างใน กางเกงยีนที่ซื้อเงินผ่อนไว้ ซุกมือในกระเป๋าเสื้ออย่างไว้ท่าบ้าง

“สวยมั้ยเสื้อใหม่” หวานถาม เอียงซ้ายเอียงขวาให้ดู ข้างหลังยังมีตัวหนังสืออีกว่า I Need You

“สวยดี”

“ตัวละตั้งสี่สิบห้าบาท นี่ถ้าไม่มีหนังมาฉาย ต้องหาทางใส่เข้าอำเภอสักวัน”

“ก็ดีนี่ งั้นคืนนี้ต้องใส่ให้คุ้มนะ หาไปช่วยโบะหลัวผ่าฟืนสักสองสามคน”

“บ้า!” หวานค้อน “ทำเองได้ ไม่เห็นต้องง้อพวกผู้ชาย”

“แต่ฉันอยากได้นะ” อดหยอกเพื่อนไม่ได้ “นี่พี่ๆ ไม่อยู่ พ่อผ่าฟืนทีแม่ก็บ่นที สมควรอยู่หรอก ดุ้นใหญ่ยังกะไม้เผาควาย”

หวานหัวเราะคิก

“ปากจัดจังพี่ มิน่า ยายร่อยถึงทนไม่ได้”

“ช่วยไม่ได้ เกิดมาเป็นยายเราทำไม”

“โอ้ย ตัวสิ ไปเกิดเป็นหลานเขาทำไม”

คำพูดของหวานสะกิดใจแปลบหนึ่ง…จริงสิ…พวกเราเกิดมาเป็นญาติกันทำไม

เหมือนเทวดาเล่นกล ใบหน้าอ่อนใสโผล่เข้าเขตวัดมา ตามหลังยายร่อยที่ยืดคอยิ้มกริ่ม ลงทุนนุ่งเสื้อใหม่เอี่ยมเห็นชัดทุกรอยพับ เชื่อเลยว่าเข้าใกล้ต้องได้กลิ่นหีบเก่าสาบคลุ้ง

“นั่นไง พูดถึงก็มา ยายเธอ”

“ช่าง”

ฉันเมินหน้า แต่ยังทันเห็นแววตาวูบสะท้อนเหมือนดาว

“เออ หวาน ไปทางโน้นดีกว่า” ฉันไม่แม้แต่จะมองอีก “กินผัดหมี่กันมั้ย ก่อนคนขายยาจะโชว์ตัวพยาธิ”

“ไม่ดีกว่า” หวานลังเล แต่ก็ออกเดินไปด้วยกัน “ฉันตั้งใจว่าจะกินฮอลล์”

 

แผงขายขนมจุกจิกตั้งข้างอาคารอเนกประสงค์ มีต้นหูกวางเป็นร่ม หนุ่มสาวหลายคนยืนไว้ตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทุกคนต่างอมลูกอมชื่อดัง มันคือของดีมีราคา แต่ก็พอจะซื้อหากันได้

“เอามั้ย พี่ให้เม็ดหนึ่ง”

“ไม่ละ เดี๋ยวฟันผุ”

“ฟันผุก็ซ่อมซีจ๊ะ”

เสียงลอยลมมา คำแซวดาดๆ น่ารำคาญ ฉันชำเลืองด้วยหางตา หน้าเห่อสิวตัวผอมเก้งก้างส่งสายตามาให้

“ซ่อมพ่อมึงสิ” อดด่าเบาๆ ไม่ได้

แต่เพื่อนฟังไม่ถนัด หันมาถาม

“ว่าอะไรพี่…ไม่เอาเหรอ”

“ลมหายใจจะได้เย็นซาบซ่า!” เสียงลอยมาอีก

ฉันเริ่มอารมณ์เสีย แม้จะเข้าใจดี นานๆ มีหนังขายยามาฉาย เป็นโอกาสให้คนได้เจอกัน จีบกัน ซื้อขนมให้กัน สานสัมพันธ์ต่อถ้าถูกใจกันพอ

แต่ฉันไม่แม้แต่จะสนใจผู้ชายพวกนั้น

“ดุจัง!” เสียงยังลอยลมมาอีก “เสียทีที่…น่ารัก”

สุดจะทน ฉันดึงแขนหวาน “ไปทางโน้นดีกว่า”

แต่ก่อนลุกตามกันไป ร่างหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาใกล้

“หมากฝรั่งขายยังไงคะ”

เหมือนรอบด้านเงียบกริบลง ฉันหันขวับ แก้มนวลสะท้อนแสงไฟ ขนตายาวเป็นแพ ผมขอดข้างหู สวมเสื้อสีชมพูกุหลาบ คนหน้าเห่อสิวอ้าปากค้างราวเห็นนางฟ้า

ฉันกัดริมฝีปาก นั่น ชิงกันเข้ามา

เริ่มมีคำทัก เชิงกระเซ้าเย้าแหย่

“…น้องปิม ชอบหมากฝรั่งหรือครับ”

“กระแดะเชียวมึง ทำเป็นพูดไทย” เพื่อนชักขัดคอกันเอง “เอาฮอลล์ดีกว่าไหมฮะ”

“โอ้ย…สวยๆ แบบนี้ต้องกินอ้อยถึงจะหวานสมกัน เอาไหมครับ พี่ซื้อแล้วนะ”

เด็กผมขอดเงยหน้าส่งยิ้มให้ทุกคน ฉันกลับเป็นฝ่ายหายใจติดขัดขึ้นมา อกรุมๆ เหมือนสุมไฟ

เหลียวหาคนที่…ออกปากนัดกันไว้ ยังไม่เห็นวี่แวว

“เอาฮอลล์มั้ยน้องสาว” ยังมีคนรุกออกหน้าอยู่

“เอานี่ไป หนูปิม!”

ฉันคว้าหมากฝรั่งกล่องเหลืองเสือกใส่มือน้องสาวของรอย แล้วหันไปบอกกับเพื่อนว่า

“ขอตัวก่อนนะหวาน นั่งตรงไหนเดี๋ยวค่อยไปหา”

“อ้าว! พี่”

หวานตั้งตัวไม่ทัน ขณะปิมปาหน้านิ่วเมื่อถูกกระชากแขนให้รีบออกห่างจากร้านขนม

 

“ปล่อยปิมนะ!”

แขนอ่อนสะบัดแรง ฉันสลัดบ้าง แล้วยืนจ้องกันใต้ต้นมะปรางสูงใหญ่ ห่างจอหนังและผู้คนออกมา

“ไปยิ้มตอบมันทำไม! พวกนั้น รู้อยู่ว่าหวังอะไร”

“แล้วแปลกตรงไหน คนเขามีน้ำใจ”

นานๆ สักครั้งเด็กผมขอดจะเถียงกลับ ฉันอึ้งไปครู่หนึ่งก็พูดแบบพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่

“ที่พูดเพราะห่วงนะ”

“หรือคะ ไม่ยักกะรู้”

เสียงแปร่งนิดๆ แล้วตาก็รีบเบือนไป ฉันชักผิดสังเกต นั่นไง น้ำหูน้ำตามาอีกแล้ว…โธ่เว้ย! เด็กคนนี้!

“หนูปิม พี่ถามตรงๆ นะ ชอบเหรอ มีพวกขี้หลีรอบตัวแบบนั้น ที่ออกมาซื้อขนมน่ะ จริงๆ อยากจะออกมาเดินโชว์ตัวหรือเปล่า!”

“พี่! ทำไมพูดจาแบบนี้! ถ้าไม่ชอบจะให้ปิมทำไงล่ะคะ จะไม่ให้ลุกไปไหนเลยเหรอ นั่งกับยาย…ยายก็บ่นหาแต่พี่ ว่าไม่เห็นมาดูแลกัน”

“ยายร่อยน่ะนะ อยากให้ไปดูแล” ฉันยิ้มเยาะ “ไม่มีคนให้เรียกใช้ละไม่ว่า ใช้คำพูดให้ถูกหน่อยสิ”

“ปิมไม่ใช่นักเขียนแบบพี่นี่!”

นานที ปิมปาจะมีคำพูดประชดประชันขนาดนี้ และยังแสดงท่าทีที่ไม่เคยทำมาก่อน

“ก็ได้ ไม่พอใจนัก งั้นปิมจะกลับบ้าน!”

“อ้าว!…แล้วยายล่ะ”

“ช่างยายสิ คนออกจะเยอะแยะ ถ้าหนังเลิกจะกลับกับใครก็ได้”

พูดจบมือหนึ่งก็เช็ดน้ำตา ซอยเท้าถี่ๆ วิ่งจากไป ฉันหันรีหันขวาง…ยังไม่มีวี่แววของผู้หญิงผมสั้นร่างเล็ก คนที่ออกปากเชิงนัดหมายกันไว้

…หนังก็กำลังเริ่มแล้ว เสียงดนตรีเร้าใจสะกดทุกสายตาให้อยู่แต่ผืนผ้าสี่เหลี่ยมยาว

ยายร่อยนั่งติดกับเพื่อนร่วมวัยอีกหลายคน กำลังตั้งใจยืดคอรอดู

“หนูปิม! จะกลับคนเดียวได้ไงมืดๆ…โธ่เว้ย!”

 

ฉันวิ่งตามหลังเด็กผมขอดไปในความมืด ผ่านตะแบกที่ยืนเคียงต้นดูก ต้นนี้ ที่เราเคยพากันมาเขวี้ยงหินใส่ลูกสุกให้ร่วง…จำได้ มีเอื้องมอนไข่แสนสวยบนคาคบ ส่งกลิ่นหอมเย็น

ตอนนั้น เรายังเป็นเด็กกันกว่าตอนนี้

“หนูปิม รอก่อน!”

หลุดจากความทรงจำในอดีต เมื่อเร่งความเร็วจนทัน กระชากแขนอีกครั้ง

“หนูปิม! ทำไมดื้อยังงี้นะ!”

“ก็อย่าสนใจสิคะ!”

“อ้าว!”

ฉันดึงแขนนิ่มเต็มแรง ตรงนั้นเป็นทางมืดก่อนถึงสามแยก มีแสงไฟวอมแวมจากบ้านไกลออกไป เสียงเพลงในหนังยังดังให้ได้ยิน และแทบจะกลบเสียงอื่นๆ เสียสิ้น

รั้งตัวให้หันมาเผชิญหน้ากัน เบื้องบนมีแสงดาว เบื้องหน้าก็มีประกายคล้ายกัน

“หนูปิม ทำไมทำแบบนี้ พี่จะทำยังไงกับปิมดี!”

“ไม่ต้องทำไงนี่ ปิมโตแล้ว ปิมทำอะไรเองก็ได้ ถ้าพี่ไม่ห่วง…ก็ไม่เป็นไร”

“ก็ห่วงไง ถึงวิ่งตามมาแบบนี้!”

“ห่วงเหรอ…แล้วทำไมห่างเหินกับปิมจังเลยล่ะช่วงนี้”

ฉันพูดไม่ออก เด็กคนนี้มีแววตาแบบนี้ด้วยหรือ ตาดื้อ และซ่อนความคิดมากมายเอาไว้

“ปิมทำอะไรผิดหรือคะ อยู่ๆ พี่ก็ทำเหมือนรังเกียจขึ้นมา”

ฉันนิ่งเงียบ

“ไหนพี่บอกว่าจะไม่ทิ้งปิมอย่างคนอื่น”

เสียงนั้นบาดลึกเข้าในหัวใจ ฉันขยับเข้าใกล้น้องสาวของรอยโดยไม่รู้ตัว ไม่คาดคิด เด็กผมขอดกลับทิ้งตัวอ่อนเข้ามาในอ้อมอก

“รู้มั้ยว่าปิมเสียใจ แต่ถ้าพี่คิดว่าปิมเป็นคนไม่ดี พี่ไม่อยากคบ ไม่อยากยุ่งอีก บอกตรงๆ ก็ได้ ปิมจะเข้าใจ”

นี่เป็นคำพูดของเด็ก? หรือจริงๆ แล้วปิมปาโตกว่าที่คิด? ฉันเริ่มแยกแยะอะไรไม่ออก เด็กผมขอดเอาคำพูดอย่างนี้มาจากไหน

“หนูปิม ฟังพี่นะ เราไม่ควร…เอ่อ…ทำอะไรบางอย่างอีก”

“ทำไมล่ะคะ”

อกฉันสะเทือนขึ้น เมื่อคำถามนั้นเรียบง่าย แทบจะเหมือนน้ำค้างใสที่ร่วงลงตอนเช้า

“ทำไมคะ เพราะเราเป็นพี่น้องกันหรือคะ”