เกษียร เตชะพีระ : อาชีพเฮงซวยผงาด!

เกษียร เตชะพีระ

อาชีพเฮงซวยผงาด : สัมภาษณ์ เดวิด เกรเบอร์ (1)

อนุกรมวิธาน (Taxonomy) นานาอาชีพเฮงซวย

ถาม : มาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ อะไรคือคำนิยามของอาชีพเฮงซวย?

เดวิด เกรเบอร์ : อาชีพเฮงซวยคืออาชีพที่ไม่มีคุณค่าควรทำหรือกระทั่งเป็นพิษภัยเสียจนกระทั่งแม้แต่บุคคลที่ทำอาชีพนี้อยู่ก็แอบเชื่อว่ามันไม่ควรคงอยู่ด้วยซ้ำไป แน่ละครับว่าคุณต้องเสแสร้ง – นั่นแหละคือเชื้อมูลความเฮงซวยของมัน ตรงที่แบบว่าคุณต้องเสแสร้งว่ามีเหตุผลที่อาชีพนี้ควรคงอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ลึกๆ แล้วคุณแอบคิดว่าถ้าหากอาชีพนี้ไม่คงอยู่ มันก็จะไม่มีอะไรก็ตามแตกต่างไปหรอก หรือเอาเข้าจริงโลกอาจจะเป็นที่ที่ดีขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำไป

ถาม : ในหนังสือ ทฤษฎีอาชีพเฮงซวย (Bullshit Jobs : A Theory, 2018) ของคุณ คุณเปิดฉากโดยจำแนกอาชีพเฮงซวย (bullshit jobs) ออกจากอาชีพห่วย (shit jobs) บางทีเราควรเริ่มจำแนกมันเสียแต่ตอนนี้เพื่อเราจะคุยกันได้ว่าอาชีพเฮงซวยมันคืออะไร?

เดวิด เกรเบอร์ : ได้ครับ ความจริงผู้คนก็มักเข้าใจผิดเรื่องนี้ เวลาคุณพูดถึงอาชีพเฮงซวย พวกเขามักคิดถึงแต่อาชีพแย่ๆ อาชีพต่ำต้อย อาชีพที่สภาพเลวร้าย ไม่มีสิทธิประโยชน์ อะไรเทือกนั้น

แต่เอาเข้าจริง ตลกร้ายก็คืออาชีพเหล่านั้นจริงๆ ไม่ได้เฮงซวยนะครับ ความจริงก็คือถ้าคุณมีอาชีพแย่ มีโอกาสทีเดียวว่าเอาเข้าจริงคุณกำลังทำอะไรบางอย่างที่ดีในโลก อันที่จริงยิ่งงานของคุณทำคุณประโยชน์ให้คนอื่นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งจ่ายเงินให้คุณน้อยลงเท่านั้น และก็น่าจะเป็นไปได้มากขึ้นเช่นกันว่ามันเป็นอาชีพห่วยในความหมายที่ว่านั้น ดังนั้น คุณจะมองมันเป็นความขัดแย้งตรงข้ามกันก็ว่าได้

ในด้านหนึ่ง คุณมีอาชีพที่เป็นอาชีพห่วยแต่ว่าเอาเข้าจริงมันทำคุณประโยชน์ ถ้าคุณกำลังล้างส้วมหรืออะไรทำนองนั้น ส้วมน่ะจำเป็นต้องล้าง ดังนั้น อย่างน้อยคุณก็มีศักดิ์ศรีตรงที่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรบางอย่างที่เป็นคุณประโยชน์แก่คนอื่น

ต่อให้คุณไม่ได้อะไรอย่างอื่นตอบแทนมากนักก็ตาม ทว่าในอีกด้านหนึ่ง คุณมีอาชีพที่คุณได้รับการปฏิบัติต่อด้วยศักดิ์ศรีและความเคารพนบนอบ คุณได้ค่าตอบแทนดี ได้สิทธิประโยชน์ดี แต่กระนั้นคุณก็ทำงานไปโดยแอบเก็บงำความรู้ที่ว่าอาชีพการงานของคุณนั้นไร้ประโยชน์สิ้นดีไว้ในใจ

ถาม : คุณแบ่งบทต่างๆ ในหนังสือของคุณตามอาชีพเฮงซวยประเภทต่างๆ ได้แก่ พวกประจบป้อยอ พวกนักเลง พวกติดเทปกาว พวกติ๊กช่อง พวกนายงาน และพวกที่ฉันคิดว่าเหมือนพวกนับเมล็ดถั่ว (flunkies, goons, duct-tapers, box-tickers, task-masters & bean-counters) เรามาลองพูดถึงอาชีพเฮงซวยประเภทต่างๆ เหล่านี้ว่ามันคืออะไรดีไหมคะ?

เดวิด เกรเบอร์ : ได้แน่นอนครับ อันนี้มาจากงานของผมที่ขอให้ผู้คนส่งคำให้การมาถึงผม ผมรวบรวมคำให้การหลายร้อยฉบับจากผู้คนที่มีอาชีพเฮงซวย ผมถามคนเหล่านั้นว่า “อะไรคืออาชีพที่ไม่มีคุณค่าควรทำที่สุดเท่าที่คุณเคยทำมา? ช่วยเล่าให้ผมฟังทั้งหมดที เช่น คุณคิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือพลวัตของมัน เจ้านายของคุณรู้เรื่องนี้ไหม?”

ผมได้ข้อมูลแบบนั้นมา ผมสัมภาษณ์ผู้คนนิดหน่อยหลังจากนั้น ทำนองติดตามผลต่อเนื่อง และดังนั้น เราก็เลยคิดระบบจัดแบ่งประเภทที่ว่าขึ้นมาด้วยกัน ผู้คนจะเสนอความคิดเห็นให้ผมและมันก็ค่อยๆ ประมวลกันเข้ามาเป็นห้าประเภท

อย่างที่คุณว่านั่นแหละ กลุ่มแรกที่เรามีคือพวกประจบป้อยอ (the flunkies) นั่นมันค่อนข้างเห็นชัดอยู่ในตัว นักประจบป้อยอมีอยู่ก็เพียงเพื่อทำให้ใครบางคนดูดีแค่นั้นเอง หรือรู้สึกดีกับตัวเองในบางกรณี เราทุกคนรู้แหละครับว่าอาชีพประเภทนั้นมันคืออะไร

แต่ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นอย่างพนักงานต้อนรับในที่ที่เอาเข้าจริงไม่จำต้องมีพนักงานต้อนรับ เห็นชัดว่าที่บางแห่งต้องมีพนักงานต้อนรับจริงๆ ซึ่งพวกเขาจะงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทว่าบางที่น่ะโทรศัพท์อาจจะดังวันละครั้งมั้ง แต่กระนั้นคุณก็ยังต้องมีใครสักคน – บางทีก็สองคน – คอยนั่งอยู่ที่นั่น ดูเป็นคนสำคัญ

ดังนั้น ผมก็ไม่ต้องโทร.หาใครสักคน ผมให้คนคนหนึ่งทำให้แทน ซึ่งเขาก็แค่พูดว่า “มีนายหน้าคนสำคัญมากอยากจะพูดกับคุณ” นั่นแหละครับพวกประจบป้อยอ

นักเลง (a goon) จะเนียนกว่านั้นหน่อย แต่ผมต้องคิดค้นอาชีพเฮงซวยประเภทนี้ขึ้นมาเพราะผู้คนพร่ำบอกผมว่าพวกเขารู้สึกว่าอาชีพของตนมันเฮงซวย

ถ้าเกิดพวกเขาเป็นพนักงานการตลาดทางโทรศัพท์ ถ้าพวกเขาเป็นนักกฎหมายของบริษัท ถ้าพวกเขาอยู่ในงานประชาสัมพันธ์ การตลาด หรืออื่นๆ ทำนองนั้น ผมต้องพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกอย่างนั้น

แบบแผนที่ออกมาดูจะเป็นว่าในหลายกรณีอาชีพเหล่านี้เอาเข้าจริงเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ แต่พวกเขารู้สึกว่าอุตสาหกรรมทั้งสาขานั้นต่างหากที่ไม่ควรมีอยู่ด้วยซ้ำไป

โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาคือผู้คนที่อยู่ที่นั่นเพื่อคอยก่อความรำคาญให้คุณ

คอยสั่งจ้ำจี้จ้ำไชคุณในบางแบบ และเท่าที่มันเป็นอาชีพที่จำเป็นนั้นน่ะ มันจำเป็นเพียงเพราะบริษัทอื่นๆ ก็มีคนทำอาชีพเหล่านั้นอยู่

คุณไม่จำเป็นต้องมีนักกฎหมายของบริษัทหรอกถ้าคู่แข่งของคุณไม่มีนักกฎหมายของบริษัท คุณไม่จำเป็นต้องมีพนักงานการตลาดทางโทรศัพท์หรอก แต่เท่าที่คุณสรรหาข้ออ้างมาบอกได้ว่าคุณต้องมีพนักงานเหล่านี้ มันก็เพราะว่าบริษัทอื่นเขามีกันนี่นา เอาละครับ นั่นมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายพอควร

พวกติดเทปกาว (Duct-tapers) คือผู้คนที่อยู่ที่นั่นเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ควรเป็นปัญหาขึ้นมาตั้งแต่ต้น

ที่มหาวิทยาลัยเก่าของผมน่ะ ดูเหมือนเราจะมีช่างไม้คนเดียว และมันยากจริงๆ ที่จะตามตัวเขามาใช้งาน

มีหนหนึ่งที่ชั้นหนังสือในห้องทำงานของผมที่มหาวิทยาลัยซึ่งผมกำลังทำงานอยู่ในอังกฤษมันพังลงมา ช่างไม้น่าจะมาซ่อมให้เพราะมันมีรูโหว่เบ้อเร่อในกำแพง คุณมองเห็นความเสียหายได้เลยแหละ และดูเหมือนช่างไม้จะไม่เคยโผล่มาเลย เขามีงานอย่างอื่นทำอยู่ตลอด

จนในที่สุดเราก็คิดออกว่ามีเจ้าหมอคนหนึ่งคอยนั่งอยู่ที่นั่นทั้งวันเพื่อขอโทษขอโพยคนที่ติดต่อไปในเรื่องที่ช่างไม้ไม่เคยมาตามที่เรียก

หมอคนนั้นทำงานในอาชีพของเขาได้ดีมาก เขาเป็นคนน่าคบหาที่ดูเหมือนจะเศร้าสร้อยอมทุกข์อยู่หน่อยๆ เสมอและมันก็เลยยากมากที่จะโกรธเขาซึ่งแน่ละนั่นแหละคืองานอาชีพของเขาไง คือจริงๆ แล้วเขาเป็นหนังหน้าไฟนั่นปะไร แต่ถึงจุดหนึ่งผมก็ได้คิดว่าถ้าทางมหาวิทยาลัยไล่หมอนั่นออกแล้วจ้างช่างไม้อีกคนแทน พวกเขาก็ไม่จำต้องมีหมอนั่นเลย ดังนั้น นั่นแหละครับคือตัวอย่างคลาสสิคของนักติดเทปกาว

ส่วนพวกติ๊กช่อง (box-tickers) อยู่ที่นั่นเพื่อเปิดช่องให้หน่วยงานหนึ่งพูดได้ว่าตัวกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ทั้งที่เอาเข้าจริงมันไม่ได้กำลังทำอะไรเลย มันคล้ายๆ กับคณะกรรมาธิการสอบสวนนั่นแหละ ถ้าหากรัฐบาลเกิดอับอายขายขี้หน้าเพราะเรื่องอื้อฉาวบางอย่าง

เอาเป็นว่าเกิดกรณีตำรวจยิงพลเมืองผิวดำเข้าหลายคน – หรือมีใครสักคนรับสินบน เป็นกรณีอื้อฉาวบางอย่างขึ้นมา พวกเขาก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้น

พวกเขาแสร้งว่าจะทำอะไรบางอย่างในเรื่องนี้ ซึ่งล้วนแต่ไม่จริงทั้งเพ

แต่บริษัทเอกชนก็ทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน พวกเขาคอยตั้งคณะกรรมการต่างๆ อยู่เสมอ มีคนทั่วโลกหลายแสนคนที่ทำงานด้านคอยกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย (compliance) ในธนาคารทั้งหลาย และมันเป็นงานเฮงซวยทั้งเพ เอาเข้าจริงไม่มีใครเคยมีเจตนาอะไรจะทำตามกฎหมายที่ถูกยัดเยียดให้พวกเขาเหล่านี้หรอก

งานของคุณก็แค่เห็นชอบกับธุรกรรมทุกๆ อันแค่นั้นเอง แต่แน่ล่ะว่าแค่เห็นชอบกับธุรกรรมทุกอันมันไม่เพียงพอเพราะมันจะดูน่าสงสัย ดังนั้น คุณก็ต้องปั้นแต่งเหตุผลขึ้นมาเพื่อบอกว่ามีเรื่องบางอย่างที่คุณกำลังตรวจสอบอยู่ มันมีพิธีกรรมที่ละเอียดพิสดารมากในการแสร้งทำเป็นว่าคุณตรวจสอบปัญหาอย่างหนึ่งอยู่ ซึ่งเอาเข้าจริงคุณไม่ได้กำลังตรวจสอบมันดูเลย

(อ่านตอนต่อไปสัปดาห์หน้า)