ภารกิจเว่อร์วังอลังการ! เป้า “ช้างศึก” ชิงฯ บอล เอเชี่ยนเกมส์

ทัพนักกีฬาไทยมีภารกิจใหญ่อีกครั้งกับการร่วมแข่งขันมหกรรมกีฬา “เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18” ที่กรุงจาการ์ตา และเมืองปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม-2 กันยายน 2561

แน่นอนว่า” “ฟุตบอล”” ยังคงเป็นไฮไลต์สูงสุดนอกเหนือจากกีฬาความหวังในการลุ้นเหรียญทองของทัพนักกีฬาไทยอย่างมวยสากลสมัครเล่น, ยกน้ำหนัก, แบดมินตัน ฯลฯ

ฟุตบอลมีแข่งขันในเอเชี่ยนเกมส์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2494 แต่ละชาติส่งชุดใหญ่มาทำการแข่งขัน

กระทั่ง พ.ศ.2545 เปลี่ยนมาจำกัดอายุนักเตะไม่เกิน 23 ปี ให้มีนักเตะที่อายุเกินได้ 3 คน เช่นเดียวกับกีฬาโอลิมปิกเกมส์

ทำให้ความมันของฟุตบอลเอเชี่ยนเกมส์ลดน้อยลง

ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหลายชาติมุ่งมั่นคว้าเหรียญทองแห่งเกียรติยศด้วยการส่งผู้เล่นที่ดีที่สุด

ทีมฟุตบอลไทยร่วมโม่แข้งในสังเวียนเอเชี่ยนเกมส์มาทุกครั้ง และเคยสร้างผลงานไว้ดีที่สุดในอันดับที่ 4 ได้ถึง 4 ครั้งในปี ค.ศ.1990, 1998, 2002 และล่าสุดเมื่อ 4 ปีก่อน ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือมหาชน “ซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ก็สามารถพาทีม “ช้างศึก” ไปไกลถึงอันดับที่ 4 ได้เช่นกัน

ปี 1990 ทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์ได้หนแรกภายใต้การคุมทีมของกุนซือจอมเฮี้ยบชาวแซมบ้าอย่าง “คาร์ลอส โรแบร์โต้ คาร์วัลโญ่” แถมในทัวร์นาเมนต์นั้น ทีมชาติไทยยังล้มทีมชาติจีน ในวันชาติของจีน จากลูกยิงโคตรสวยของ “เหน่อเสน่ห์” “ประเสริฐ ช้างมูล” ในเกมเตะรอบ 8 ทีมสุดท้าย

ปี 1998 และปี 2002 เป็นผลงานการคุมทีมของ “ปีเตอร์ วิธ” กุนซือชาวอังกฤษ โดยเฉพาะในปี 1998 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพนั้น ลูกยิงของ “วัง ลันตา” “ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล” ดับซ่าเกาหลีใต้คาสนามราชมังคลากีฬาสถานยังคงตราตรึงในใจคนไทยจนถึงทุกวันนี้

เมื่อ 4 ปีก่อน “ซิโก้” ในฐานะกุนซือใหญ่สร้างทีม “ช้างศึก” ให้เล่นบอลสวยงาม ต่อบอลบนพื้นสู้กับชาติยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่างสนุก และสุดท้ายไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ และได้ชิงอันดับ 3

เอเชี่ยนเกมส์ 2018 ครั้งที่ 18 ที่กรุงจาการ์ตา และเมืองปาเล็มบัง ทีมชาติไทยต้องเจอกับภารกิจสำคัญกับความคาดหวังในการป้องกันอันดับ 4 ของเอเชียเป็นอย่างน้อย หรือไปไกลเกินกว่าที่เคยทำได้ ซึ่งจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา

ช้างศึกเอเชี่ยนเกมส์ชุดนี้อยู่ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชโย่ง” “วรวุฒิ ศรีมะฆะ” กุนซือวัย 46 ปี ซึ่งเพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2017 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อปีก่อนมาแล้ว และได้รับโอกาสให้คุมทีมต่อเนื่องมาจนถึงทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างเอเชี่ยนเกมส์

จริงๆ แล้วตอนซีเกมส์ 2017 บอลสไตล์โค้ชโย่งยังไม่ค่อยถูกอกถูกใจแฟนลูกหนังไทยนัก เพราะเป็นบอลไม่สวยงาม แต่เน้นสกอร์ เน้นที่ชัยชนะเป็นหลัก แต่อย่างว่าแหละครับทัวร์นาเมนต์ซีเกมส์มันเล็กไปแล้วสำหรับทีม “ช้างศึก”

เพราะของจริงเวทีใหญ่อย่างเอเชี่ยนเกมส์จะเป็นการพิสูจน์กึ๋น พิสูจน์ฝีมือของ “โค้ชโย่ง” ว่าของจริง หรือของปลอม ด้วยเช่นกัน

“โค้ชโย่ง” ยังคงยึดขุมกำลังหลักมาจากชุดแชมป์ซีเกมส์ 2017 นำโดยกองหน้า “เจนรบ สำเภาดี, ชัยวัฒน์ บุราญ” ขณะที่แดนกลาง “วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, นพพล พลคำ, รัตนากร ใหม่คามิ, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล” ส่วนแนวรับมี “วรวุฒิ นามเวช, เควิน ดีรมรัมย์, สุริยา สิงห์มุ้ย” และผู้รักษาประตู “นนท์ ม่วงงาม”

ส่วนผู้เล่นใหม่ที่โค้ชโย่งเรียกเข้ามาเสริมทัพในการประกาศรายชื่อชุดแรก 29 คนมีทั้งผู้รักษาประตู “รัตนัย ส่องแสงจันทร์, วันชัย จารุนงคราญ, จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์, สุภโชค สารชาติ, เอกนิษฐ์ ปัญญา, สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ, ศุภชัย ใจเด็ด” เป็นหลัก

ช้างศึกชุดนี้ถือว่าเป็นการผสมผสานนักเตะแกนหลัก และหน้าใหม่ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นดาวรุ่งที่ถือเป็นการเตรียมทีมระยะยาวไปสู่อนาคตจนถึงการคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

แน่นอนแหละครับว่าทัวร์นาเมนต์ระดับเอเชี่ยนเกมส์ไม่มีคำว่าง่าย ครั้นจะรอเคี้ยวหมูคงไม่มี แต่เราเองก็ต้องไม่เป็นหมูให้ทีมอื่นเคี้ยวด้วยเช่นกัน

เป้าหมายที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ประกาศไว้ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า คาดหวังอยากจะให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบลึกที่สุด และจะต้องไปได้ไกลกว่าที่เคยทำได้ตามความคาดหวังของแฟนบอลที่อยากจะเห็นทีมชาติไทยผ่านเข้าไปในรอบลึกๆ ในเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ให้ได้

เป้าหมายที่ประกาศออกมาต้องบอกว่าเว่อร์วังอลังการเกินไปจริงๆ เพราะ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ดันไปหลงเหลี่ยมเหยี่ยวข่าวสายบอลอีท่าไหนไม่รู้ดันไปหลุดบอกมาว่า เป้าหมายทีมบอลไทยชุดนี้จะต้องดีกว่าเมื่อ 4 ปีก่อน

นั่นหมายถึงการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นอย่างน้อย…!!!

มาดูและวิเคราะห์โอกาสของทีมชาติไทยแบบตรงๆ ไม่มียกยอปอปั้นกันเลย “ช้างศึก” จับสลากแบ่งสายอยู่ในกลุ่มบีร่วมกับ “อุซเบกิสถาน, บังกลาเทศ, กาตาร์”

เงื่อนไขการเข้ารอบของฟุตบอลชายมีทีมเข้าร่วม 26 ทีม แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ซึ่งทีมที่ได้คะแนนมากที่สุดอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม รวมถึงอันดับ 3 ที่มีผลงานที่ดีที่สุด 4 ทีมจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

คู่แข่งรอบแรกของทีมชาติไทยแน่นอนว่า ทีมอันตรายที่สุดคือ “อุซเบกิสถาน” ดีกรีแชมป์เอเชีย 2018 รุ่นไม่เกิน 23 ปี เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนักเตะอุซเบกิสถานมีจุดเด่นเรื่องการครองบอลดี มีการลากเลี้ยงพาบอลเข้าไปทำเอง รวมถึงการเล่นบอลยาว การขึ้นเกมทางริมเส้น และการเจาะเข้าทำดีมากในพื้นที่อันตราย

ขณะที่ “กาตาร์” เป็นบอลสไตล์ตะวันออกกลางที่มีความไว เล่นบอลคอนโทรลดี และเข้าโจมตีดี มาตรฐานยังดูดีกว่าไทยพอสมควร ส่วน “บังกลาเทศ” ไม่น่าจะเป็นงานยากเกินไปที่เราจะเอาชนะไปได้

โปรแกรมลงสนามทีมชาติไทยจะประเดิมนัดแรกพบกาตาร์ วันที่ 14 สิงหาคม เวลา 19.00 น. จากนั้นลงเตะนัดสองพบบังกลาเทศ วันที่ 16 สิงหาคม เวลา 16.00 น. และจะลงเตะนัดสุดท้ายพบอุซเบกิสถาน วันที่ 19 สิงหาคม เวลา 19.00 น.

ผมเชื่อว่าโอกาสของทีม” “ช้างศึก”” ในการทะลุเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบอัตโนมัติคือ การคว้าอันดับ 1 และ 2 ของกลุ่มนั้น ค่อนข้างยาก เราชนะบังกลาเทศแน่ๆ มีตุนชัวร์ๆ 3 แต้ม ส่วนนัดที่เราต้องเจอกับอุซเบกิสถาน และกาตาร์ ถ้าเราเก็บได้สัก 1 แต้ม เป็น 4 แต้ม เราก็ยังพอมีโอกาสเป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม

จากนั้นเข้าสู่รอบน็อกเอาต์หากเราไม่โชคร้ายไปเจอพวกกระดูกเบอร์ใหญ่ๆ ของเอเชียอย่างญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน เราก็พอจะสู้ไหวเช่นกัน

ดังนั้น หากมองกันตามเส้นทางและเป้าหมายที่เราวางกันไว้นั้น ต้องบอกเลยครับว่า เราเล่นใหญ่เกินไป เราคิดใหญ่เกินตัว…!!!

ฝั่ง” “โค้ชโย่ง”” เองพยายามไม่กดดันตัวเองมากเกินไป บอกแค่ว่า ขอทำให้ดีที่สุด ขอให้ผ่านรอบแรกไปก่อนแล้วค่อยไปว่ากันรอบต่อรอบ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี

เพราะหากไปกดดันว่า ต้องแชมป์นะ ต้องไปถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นอย่างน้อยนะ

มันจะกลายเป็นหอกที่ตามทิ่มแทงตัวเองหากไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้…จริงหรือไม่