วัชระ แวววุฒินันท์ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

วัชระ แวววุฒินันท์

ช่างไม่คุ้นเคยเสียเลยกับคำคำนี้

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ”

และถ้าจะว่ากันจริงๆ ก็ไม่อยากจะคุ้นเคย ไม่อยากได้ยินและรับรู้เสียเลย

เชื่อว่าคงจะตรงกับใจคนไทยหลายคน ที่ยังคงมีความรู้สึกว่า พระองค์ยังอยู่ อยู่กับคนไทย

แต่ในความเป็นจริง ก็เป็นเช่นคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละที่ว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ซึ่งเรื่องการพลัดพรากจากลาบุคคลที่ตนรักนั้น เกิดขึ้นกับคนทุกชนชั้น ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศก็เคยทรงเล่าให้ฟังว่า สมเด็จย่าได้สั่งเอาไว้ว่า “เมื่อแม่ตายก็อย่าร้องไห้”

จึงเชื่อว่า ในการนี้พระองค์ก็คงมิทรงปรารถนาให้คนไทยต้องโศกเศร้าเสียใจกันเกินสมควร

เราจึงตั้งมั่น เห็นจริง และเดินหน้าต่อไปด้วยพลังจากพระองค์ท่าน

 

ไม่น่าเชื่อว่า เพียงพระองค์จากเราไปไม่ทันไร เราก็ได้เห็นพลังอันสวยงามของคนไทยไม่น้อยเลย

ไม่ต้องว่าถึงพลังของมวลชนในชุดดำที่ออกมารวมตัวกันเพื่อมุ่งถวายความอาลัยให้ใกล้พระองค์มากที่สุด นับแต่อยู่สองข้างทางในขบวนแห่พระบรมศพ หรืออยู่ในแถวอันยาวเหยียดเพื่อลงนามถวายความอาลัย หรืออยู่อย่างสงบนิ่งหน้าพระบรมมหาราชวังเพื่อรอรับและรอส่งเสด็จพระราชวงศ์ที่เสด็จปฏิบัติภารกิจทุกวี่วัน

แต่เราได้เห็น

“เชิญนั่งรถฟรี…น้ำดื่มฟรี…อาหารฟรี”

“บริการยาดม ยาหม่อง ขนมปัง ทิชชู ถามได้ อย่าเกรงใจ…”

นี่คืออะไร แม้แต่ชาวต่างชาติยังงงที่ได้เห็น แต่ก็บอกว่า “…ในเวลาที่มีเรื่องไม่ดี ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่น่าชื่นชม…”

ได้ฟังคำสัมภาษณ์ของผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ว่า

“พระองค์ท่านยังทรงงานหนักได้ทุกวันเลย แล้วทำไมเราจะทำความดีบ้างแค่วันเดียวจะไม่ได้เชียวหรือ”

“ร้องไห้ออกมาเลย เมื่อส่งเขาถึงที่แล้ว เขาหันมายกมือไหว้เรา”

ใครได้ฟังก็คงอดน้ำตาซึมตามไม่ได้

นี่ไงที่บอกว่า แม้พระองค์จากไป แต่คนไทยต้องเดินต่อด้วย “พลัง” เป็นพลังของการทำดีที่มีพระองค์เป็นแบบอย่างนั่นเอง

แค่รักและเสียใจคงไม่ช่วยอะไร แต่ต้องตั้งมั่น ยึดในคำพ่อสอน และทำดีอย่างต่อเนื่อง

พระองค์มองมาจากฟากฟ้าคงดีพระทัย

 

เมื่อมีคนที่เรารู้จักรักใคร่เสียชีวิตลง ก็มักจะมีคำปลอบประโลมว่า “เค้าไปสบายแล้ว มีแต่เรานี่แหละที่ต้องอยู่บนโลกต่อไป”

สำหรับพระองค์แล้ว คงจะไปสบายจริงๆ เพราะตลอดเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงทำงานตลอด ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายและความคิดเพื่อทำทุกวิถีทางให้คนของพระองค์มีชีวิตที่ดีขึ้น

ไม่ใช่คนสองคนที่พระองค์ต้องดูแล แต่เป็นหลายสิบล้านคนในวันที่ทรงตอบรับขึ้นครองราชย์ จนมาถึง 70 ล้านคนในวันที่พระองค์เสด็จสวรรคต

พวกเราเองดูแลลูกเต้าคนสองคนก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว

นี่พระองค์ต้องดูแลคนมากมาย หลากหลายที่มา หลากหลายความคิด ความต้องการ บางคนก็เข้าใจ บางคนก็เหมือนจะไม่เข้าใจ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อ ทรงเป็นเช่นพระมหาชนก คือมี “ความเพียร”

หากตลอด 70 ปีที่ครองราชย์ เป็นการว่ายน้ำท่ามกลางมหาสมุทร ตอนนี้พระองค์ท่านก็คงได้ขึ้นสู่สวรรค์โดยพระองค์เอง มิต้องรอให้นางมณีเมขลามาช่วยแต่อย่างใด

สำหรับพระมหากษัตริย์แล้ว มีผู้บอกว่าคือ “สมมติเทพ”

แต่หากคิดแบบสามัญง่ายๆ ว่า พระองค์ก็เป็น “ผู้ชาย” คนหนึ่ง

ที่เกิด เติบโต เรียนรู้ ทำงาน แล้วก็เจ็บ ป่วย และตาย

แต่ผู้ชายคนนี้ช่างทำอะไรได้มากมายขนาดนั้น

ถ้าจะมีใครตำหนิพระองค์

อยากถามว่า ท่านทำได้มากและดีเฉกเช่น “ผู้ชาย” คนที่ท่านตำหนิหรือไม่

และเป็นการทำงานที่เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 ปี

หลายคนตอนอายุเท่านั้นยังไม่เป็นโล้เป็นพาย แบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย ไม่ก็ไล่จีบหญิงไปวันๆ แล้วก็อกหักมาเพื่อจะได้กินเหล้าปลอบใจตัวเอง

แต่ผู้ชายคนนี้ ได้สูญเสียพี่ชายอันเป็นที่รักยิ่ง ความโศกสลดยังไม่ทันจางก็ต้องรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแผ่นดิน เป็น “หน้าที่” ที่ทรงแบกรับไว้เพื่อแผ่นดิน เพื่อคนไทย

และไม่ได้แบกไว้เฉยๆ แต่ได้ทำ ทำ ทำ และทำ จนสุดท้ายของเวลามาถึง

 

แม้พระองค์จากไป สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้ยังได้ “ทำงาน” ต่อ ดังจากที่เราได้เห็นจากคนขับมอเตอร์ไซค์ จากเด็กนักเรียน จากจิตอาสาต่างๆ จากคนไทยที่มุ่งเดินตามรอยพ่ออีกมาก

นี่พระองค์ยังทรงงานอยู่ไม่ขาดสายกระนั้นหรือ

นี่คือ “พลัง” ที่เกิดขึ้นจริงๆ แม้พระองค์จะไม่อยู่แล้ว

ขอให้คนไทยเก็บเกี่ยวพลังนี้เอาไว้ให้มาก ให้นาน และต่อเนื่อง

เพื่อที่จะได้เป็น “ไทย” ที่ยืนหยัดอยู่ได้ในสังคมโลกด้วยตนเอง อย่างสง่าผ่าเผย และมีความสุขที่แท้จริง

เป็น “ไทย” ที่พึ่งพาตนเอง และตอบแทนสังคม

เมื่อนั้น งานของพระองค์คงจบลงด้วยความงดงามยิ่งนัก