บทวิเคราะห์ : JACK นคร มาฉิม ผู้เขย่า!ต้นถั่ว

ในประเทศ

 

JACK

นคร มาฉิม

 

พลิกดูประวัตินายนคร มาฉิม
เกิด 3 พฤษภาคม 2509
ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาชีพ ทนายความ
ประสบการณ์ทางการเมือง
1. ส.ส.พิษณุโลก พ.ศ.2544, 2548, 2550, 2557 (การเลือกตั้งโมฆะ)
2. ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองสภาผู้แทนราษฎร
3. รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ สภาผู้แทนราษฎร
จะเห็นว่า ไม่โดดเด่นนัก หากเทียบกับเพื่อนนักการเมืองจากพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
แต่เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปสังกัดพรรคชาติพัฒนา หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภา
ด้วยเหตุผลไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้ง จึงแยกทางเดินกับพรรค
และโน้มเอียงไปทางคนเสื้อแดง ถูกเชิญไปออกสื่อในเครือข่ายเสื้อแดงหลายครั้ง
จนถูกมองว่ามีเป้าหมายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย
คำถามจึงมีว่า ทำไมคนประชาธิปัตย์จึงรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสูงยิ่ง
กับจดหมายเปิดผนึกที่เปิดเผยผ่านเฟซส่วนตัวของนายนคร มาฉิม
ที่ทำถึงนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดนายทักษิณอายุครบ 69 ปี

จดหมายมีใจความโดยสรุป คือ
1) ยกย่องนายทักษิณที่บริหารชาติบ้านเมืองได้ดี ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย 377 เสียง เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมือง
2) มีการตั้งคำถาม เหตุใด “พวกเรา” พ่ายแพ้อย่างยับเยินทั้งที่พวกเราและแนวร่วมฝ่ายอนุรักษนิยมมีความพร้อมทั้งทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก และเครือข่ายข้าราชการ ได้ใช้สรรพกำลังทุกองคาพยพอย่างเต็มที่ ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใช้วาทกรรมทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งนายทักษิณและพรรคได้
3) (ผลดังกล่าว) ทำให้พวกเราตื่นตระหนกกันมาก จึงร่วมกันทุกฝ่ายระดมสรรพกำลัง ทั้งฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายข้าราชการประจำ ร่วมกันขย้ำให้ตายคามือ ยึดอำนาจด้วยปืน ยุบพรรคทิ้งด้วยกฎหมาย ตัดสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหาร
4) เมื่อนักการเมืองแถวสอง มาในนามพรรคพลังประชาชน ก็ยังชนะการเลือกตั้งอยู่ พวกเราจึงร่วมกันใช้วิธีการเดิม ยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธ ยุบพรรคท่านทิ้งด้วยอำนาจทางกฎหมาย
5) นักการเมืองแถวที่สาม มาตั้งพรรคใหม่ชื่อเพื่อไทย เอาน้องสาวนายทักษิณซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองมาลงก็ชนะพวกเราอีก มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยส่วนใหญ่
6) สุดท้ายพวกเราจึงปรึกษากันว่าคงจะต้องให้ทหารยึดอำนาจอีก และเพื่อตอกฝาโลง ก็ใช้กระบวนการยุติธรรมในมือตัดสินเอาผิดอีก นายทักษิณกับน้องสาวจะต้องไม่อยู่ในประเทศ เพราะถ้าท่านอยู่ พวกเราคงจะไม่ได้มีโอกาสชนะและกลับมาครองอำนาจเป็นแน่
7) พวกเราขอแช่แข็งประเทศสัก 5-20 ปีก่อนจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าพวกเราจะบริหารจัดการอำนาจและปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
8) การสมคบคิด การวางแผนการยึดอำนาจ กระบวนการทำลายประชาธิปไตย ทำลายอำนาจของประชาชนจึงมีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงทฤษฎี
9) พิจารณาศึกษาอย่างรอบด้านจึงรู้ว่าเหตุผลที่ฝ่ายเราพ่ายแพ้ตลอดเพราะฝ่ายเราทำเพื่อนายทุน ขุนศึก ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยไม่ได้ทำเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย
ที่สำคัญที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันว่าใครต่อสู้เพื่อเผด็จการและเครือข่ายเผด็จการ
10) จึงขอโทษนายทักษิณและน้องสาวพร้อมขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกัน

คนประชาธิปัตย์ ทั้งเบอร์ใหญ่ เบอร์เล็ก ออกมาตอบโต้นายนคร มาฉิม อย่างรุนแรง
อาทิ อดีตเพื่อนร่วมจังหวัดอย่าง น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์
ชำแหละจดหมายของนายนครอย่างละเอียด
1. นายนครใช้คำว่า “พวกเรา” ในจดหมาย เพื่อให้สังคมเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นเบอร์ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ใช่ ในทางกลับกัน กลับเป็นบุคคลที่มีเพื่อนน้อย ไม่มีบทบาทใดๆ ในพรรค
นายนครน่าจะระบุว่ามีใครบ้างที่นายนครไปร่วมปรึกษาหารือด้วย ถ้าไม่สามารถระบุได้ จะกลายเป็นว่าสร้างเรื่องขึ้นมา
2. นายนครไม่สามารถแยกแยะฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายทุนสามานย์ได้
เพราะไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมของฝ่ายทุนสามานย์ อย่างโครงการจำนำข้าว ที่ทุจริตรุนแรง หลายคนติดคุก ขณะนี้ยังมีคดียึดทรัพย์ ในศาลแพ่ง วงเงินร่วมห้าหมื่นล้าน
ไม่นับรวมพฤติกรรมไม่ชอบอีกมากมาย จนมีประชาชนนับล้านออกมาขับไล่ ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตไป 24 ราย บาดเจ็บมากกว่า 700 ราย
3. ฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายทุนสามานย์ แม้มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน
แต่ฝ่ายทุนสามานย์ ทำเพื่อนายทุนเจ้าของพรรค
เมื่อผ่านการเลือกตั้งแล้ว จะมีลักษณะ
– เหิมเกริมในอำนาจ
– ทุจริตเชิงนโยบาย
– ไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
– มีพฤติกรรมจาบจ้วง
ทุนสามานย์ เป็นตัวทำลายประชาธิปไตย เป็นเหตุให้ประชาชนออกมาขับไล่ และจบด้วยรัฐประหาร
4. ผลของจดหมายฉบับนี้ นายทักษิณและเครือข่าย ได้ประโยชน์เต็มๆ จากนายนครมาช่วยแต่งเรื่องให้ และมาขยายผลโดยสื่อเครือข่าย เพื่อให้เข้าใจผิดว่านายนครยังอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่นายนครออกจากพรรคประชาธิปัตย์นานถึงสี่ปีกว่าร่วมห้าปี ไปอยู่ที่พรรคชาติพัฒนาและกำลังจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย
5. แฟนๆ พรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากในจังหวัดพิษณุโลกและทั้งประเทศ รู้สึกต่อต้านนายนคร
6. นายนครถือว่าเป็นการทรยศต่อพี่ หักหลังเพื่อน และเผาบ้านทิ้งครั้งรุนแรง
คาดว่าสิ่งที่นายนครได้รับคือ
6.1 ในระยะแรกต้องเร่งชูบทบาท ถ้าเป็นรัฐบาลต้องให้เป็นรัฐมนตรี แต่สุดท้ายคงจบด้วยการติดคุก
6.2 เนื่องจากนายนครมีความขยัน แต่เพื่อนน้อย ถ้าหมดประโยชน์ทางการเมือง คงต้องระวังต่อพฤติกรรมตนเอง
7. ประชาธิปัตย์ช่วงแรกต้องได้รับผลกระทบ จากข้อมูลผิดๆ แต่ระยะเวลาผ่านไป ประชาชนจะเข้าใจและไม่มีใครที่จะทำอะไรพรรคประชาธิปัตย์ได้แน่นอน

ไม่ใช่เพียงวาทกรรมเท่านั้น ที่คนประชาธิปัตย์ถล่มใส่นายนคร มาฉิม
นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้เอาผิดทางกฎหมายด้วย
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไฟเขียวให้ดำเนินคดีหากมีหลักฐานพร้อม
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าคณะกฎหมาย กล่าวว่า เมื่อหัวหน้าพรรคไฟเขียวให้เช่นนี้แล้ว ก็พร้อมที่จะเดินหน้า เบื้องต้นรู้สึกยินดีที่ผู้ใหญ่ในพรรคให้การสนับสนุนให้เดินหน้ายื่นฟ้องในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่
ขณะที่นายนคร มาฉิม เองก็โต้ว่า ไม่มีความกังวล หากพรรคประชาธิปัตย์จะยื่นฟ้องกรณีนี้ ยืนยันว่าการโพสต์ข้อความยืนอยู่บนหลักของข้อเท็จจริง หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ก็ต้องนำความจริงมาพิสูจน์ความถูกต้องของตนเอง
แต่ทั้งนี้ ก็อยากฝากถึงผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ว่า เราจะมาสู้กันเพื่อให้เผด็จการลอยนวลทำไม ทำไมไม่ช่วยกันสู้เพื่อประชาธิปไตยตามหลักของนักประชาธิปไตยที่เราเป็นอยู่
“เราจะมาสู้กันให้เผด็จการทหารเขาหัวเราะเราทำไม” นายนครระบุ
แต่ดูเหมือนว่าประชาธิปัตย์คงไม่ยอม
ซึ่งก็คงด้วยเหตุผลอย่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) วิเคราะห์
นั่นคือ
สิ่งที่นายนครพูด แม้ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ พวกตนและ นปช. แล้วอีกหลายคนก็พยายามอธิบายในมิติเหล่านี้
“แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพูดโดยคนที่เคยเป็น ส.ส. ให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาหลายสมัยนั้น มันก็เพิ่มน้ำหนักต่อข้อเท็จจริงนี้ได้มากขึ้น
และผมเข้าใจว่าประชาชนแม้แต่เป็นคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เองก็ตาม ก็คงยากที่จะปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้”

นี่กระมังจึงทำให้ประชาธิปัตย์มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้แรง และมีแนวโน้มสูงที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติออกมาเอาผิดทางกฎหมายต่อนายนคร
โดยจะอาศัยบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพื่อแจ้งความและฟ้องร้องประเด็นอันเนื่องแต่ “จดหมายเปิดผนึก”
เพื่อที่ยุติ “ข้อกล่าวหา” ลงโดยเร็วและเด็ดขาด
ไม่เป็นประเด็นให้ถูกนำไปขยายเป็นประเด็นอีก เมื่อ “เทศกาลเลือกตั้ง” มาถึง
ซึ่งถึงตอนนั้น “ประเด็นอาจจะแตกขยาย” จนควบคุมยาก
แต่กระนั้น ในอีกด้าน แม้เรื่องจะขึ้นศาล ที่หวังว่าเรื่องจะยุติ ก็อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น
เพราะ “ศาล” จะกลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในทางการเมือง
ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์เนื้อหาที่ดำรงอยู่ภายใน “จดหมายเปิดผนึก” จริงหรือไม่
และแน่นอนคงจะมีการนำสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กับก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และหลังจากการรัฐประหารนั้น มาโยงเข้าด้วยกัน
ซึ่งมีโอกาสบานปลายสูง และจะลากดึงเอา “กองทัพ” ขึ้นสู่ศาลอีกครั้งด้วย
แม้ว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะตีกันไว้แล้วว่า “ทหารหรือกองทัพไม่ได้อยู่ร่วมในขบวนการล้มล้างพรรคการเมืองหรือรัฐบาลในอดีต”
เช่นเดียวกับท่าทีอันหงุดหงิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ว่า
“ไม่อยากจะตอบเพราะไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล ฉะนั้น ใครพูดใครโพสต์อะไรก็ไปว่ากันเอง บางอย่างไม่เป็นประโยชน์อย่าไปสนใจมันก็จบและเงียบไป”

การเรียกร้องให้บางเรื่อง “จบและเงียบไป” ของ พล.อ.ประยุทธ์
ว่าที่จริงคงไม่ใช่เรื่องง่าย
หากว่าการเคลื่อนไหวในเรื่อง “พลังดูด” เพื่อผลต่อการเลือกตั้งยังมีอยู่
การทำ “จดหมายเปิดผนึก” และออกเผยแพร่ ก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ออกมาตอบโต้
แม้จะเป็นเพียง “อุ่นเครื่อง”
แต่ประชาธิปัตย์รู้สึกว่า กระแทกอกตัวเองจังๆ จึงเดินหน้าเอาคืน
สะท้อนว่า ปฏิบัติการของ “แจ๊ก” คนตัวเล็กๆ อย่างนายนคร มาฉิม แม้ไม่อาจฆ่ายักษ์ได้
แต่ก็เขย่าต้นถั่วให้ยักษ์นั่งเฉยไม่ได้ ต้องออกฤทธิ์ออกเดชให้เห็น
การเมืองก่อนเลือกตั้งเข้มข้นเสมอ