วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เรียนรู้ความโกรธ

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

 

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เรียนรู้ความโกรธ

 

หลังเจ้าภาพกลับไปนั่งที่เรียบร้อย มัคนายกปฏิบัติหน้าที่กล่าวขอศีล 5 จากพระรูปนำ ก่อนสวดพระอภิธรรม สงฆ์ต้องนำตาลปัตรไว้ด้านหน้า จบแล้วจึงไขว้ไปไว้ด้านข้าง
บทสวดพระอภิธรรมแต่ละจบ เมื่อก่อนสวดนานกว่านี้ หลังจากมีเหตุปฏิวัติ 6 ตุลาคม แล้ว กรมการศาสนาน่าจะกำหนดให้เริ่มพิธีเร็วขึ้นมาเพื่อเสร็จก่อนหกโมงครึ่ง ทางวัดจึงสวดพระอภิธรรมให้สั้นลง เพื่อเลิกได้ตามเวลา เจ้าภาพและญาติโยมจะได้มีเวลากลับบ้านก่อนเคอร์ฟิว
การสวดพระอภิธรรม กำหนดเป็น 4 จบ สามจบแรกมีพักเล็กน้อยประมาณ 5 นาที พระรูปที่สูบบุหรี่มีเวลาสูบบุหรี่มวนหนึ่ง ถึงจบที่สาม พักนานออกไป ให้เจ้าภาพนำอาหารส่วนมากเป็นข้าวต้มให้แขกที่มาร่วมงานรับประทานบรรเทาหิวใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เริ่มจบที่ 4 สักครู่เจ้าหน้าที่จึงย้ายตู้พระธรรมไปตั้งไว้ด้านข้าง จบแล้วจึงชักผ้าภูษาโยงมาตรงหน้าพระ ให้เจ้าภาพและแขก 4 คนวางผ้าบังสุกุล นั่งพนมมือ คอยฟังพระสงฆ์ทั้ง 4 รูปสวดบังสุกุลเป็นการบังสุกุลตาย ซึ่งพระปานพอจะสวดได้…
อนิจจา วะตะสังขารา อุปปาทะวะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโมสุโข
แปลความว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การเข้าไปสงบระงับแห่งสังขาร คือความคิดปรุงแต่งนี้เสียได้ ย่อมเป็นสุข ดังนี้
จบแล้วพระทั้ง 4 รูปชักผ้าบังสุกุลมาไว้ข้างตัว ขณะที่ผู้ถวายเครื่องไทยธรรมกลับไปที่นั่งเตรียมกรวดน้ำ จบบทกรวดน้ำ และบทให้พรแล้ว พระ 4 รูป จึงหันหน้าไปทางพระพุทธรูป กราบพร้อมกัน ก่อนลงจากยกพื้นนั้น กลับกุฏิพร้อมเครื่องไทยธรรมและผ้าบังสุกุล
ระหว่างเดินกลับกุฏิ พร้อมพระอีกหลายรูปที่กลับทางเดียวกัน พระปานคิดถึงระหว่างชักผ้าบังสุกุล ที่แปลได้ความว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีเกิดมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การเข้าไปสงบระงับแห่งสังขาร คือความคิดปรุงแต่งเสียได้ ย่อมเป็นสุข–จงจิตกลับไปนานนับเดือนแล้ว ป่านนี้คงยุ่งกับการสอนหนังสือนักเรียน แม้จะคิดถึงเธอบ้าง แต่เมื่อคิดถึงการพลัดพรากจากกันเป็นทุกข์ ทั้งไม่รู้ว่าจงจิตยังคิดถึงเขาหรือเปล่า คิดได้เช่นนี้ พระปานจึงฉุกใจว่า แล้วจะมามัวคิดถึงให้เป็นทุกข์อยู่ทำไม
นี้อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระปานต้องการอยู่ในบวรพุทธศาสนาต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อระงับดับทุกข์นั้น ทุกข์จากการคิดถึงเธอ-จงจิต

รุ่งเช้า หลังจากฉันเสร็จ ได้เวลาทำวัตร พระปานไปที่โบสถ์ตามปรกติ แต่วันนี้พระผู้ใหญ่มีเพียงสองสามรูป คือเขา พระสุชัย กับอีกรูปหนึ่งที่มีพรรษามากกว่าเขา แต่น้อยกว่าพระสุชัย พระสุชัยจึงทำหน้าที่นำสวดมนต์
ก่อนเริ่มสวดมนต์ พระปานได้ยินเสียงตัดเล็บของเณรที่นั่งข้างหลัง จึงเหลียวกลับไปดู เณรรูปนั้นยังตัดเล็บเพลิน ไม่สนใจจะสวดมนต์ พระปานจึงเตือนไปว่า เณร สวดมนต์ก่อน แล้วหันกลับ ได้ยินเสียงที่ตัดเล็บห้อยกับพวงกุญแจไถไปบนพื้นโบสถ์ หันไปดูอีกที พวงกุญแจและที่ตัดเล็บไปอยู่กับเณรอีกรูปที่นั่งถัดไป
เณรรูปนั้นหยับที่ตัดเล็บขึ้นมาตัดเล็บตัวเอง พระปานจึงบอกไปว่า เณร หยุดตัดเล็บ สวดมนต์ก่อน เณรรูปนั้นมองหน้าพระปานอย่างไม่ยี่หระกับคำเตือน ทั้งยังเอ่ยขึ้นว่า แล้วจะทำไม
เท่านั้นแหละ พระปานรู้สึกเลือดขึ้นหน้าเป็นริ้วร้อนผ่าวด้วยความโกรธฉับพลัน มีความรู้สึกเหมือนถูกท้าทาย คิดในใจว่า ถ้าไม่ได้เป็นพระทั้งยังอยู่ในโบสถ์ สงสัยต้องลุกขึ้นเตะปากเข้าให้แล้ว
แต่เมื่อคิดได้ ทั้งที่ยังมีอาการโกรธ พอดีพระสุชัยนำสวดมนต์ จึงหันกลับแล้วสวดมนต์ตาม
พระปานเพิ่งรู้ว่าความโกรธเป็นอย่างนี้เอง ทั้งที่ไม่ใช่ไม่เคยโกรธ แต่การโกรธครั้งอื่นๆ ขณะเป็นฆราวาส เมื่อได้โต้ออกไป หรือแสดงอาการโต้ตอบ กลับไม่รู้ว่าความโกรธนั้นรุนแรงขนาดนี้ คราวนี้ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน และพยายามระงับความโกรธที่เกิดขึ้นนั้น
เมื่อทำวัตรเสร็จ ยืนขึ้นแล้ว หันกลับจะออกจากโบสถ์ มองไปที่เณรรูปนั้น ยังจ้องหน้าพระปานราวกับจะเอาเรื่องหรือไม่สนใจ ไม่เกรงใจพระปานที่ทั้งเป็นพระซึ่งเณรแม้จะบวชมานานเท่าไหร่ ยังถือว่าต้องเคารพเชื่อฟังพระแม้บวชเพียงวันเดียว

ครั้งแรก พระปานไม่คิดถือสาหาความอะไร แต่เมื่อเห็นถึงอากัปกิริยา และอายุของเณรซึ่งอยู่ในวัยรุ่น กลับเห็นว่า คงไม่จัดการอะไรสักอย่างไม่ได้ แต่จะจัดการอย่างไร ระหว่างเดินกลับกุฏิ พระปานครุ่นคิดว่าทำอย่างไรจึงจะกำราบไม่ให้เณรแสดงกิริยาหรือประพฤติเช่นนี้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เณรรูปอื่นที่เห็นเหตุการณ์ต่อไป
ค่ำนั้น ท่านพระครูพรหมไม่ได้ไปสวดพระอภิธรรม จึงขึ้นไปที่กุฏิท่าน ร่วมฉันน้ำชาอย่างเคย เมื่อได้โอกาสจึงปรารภขึ้นถึงเหตุการณ์เช้านั้นให้ท่านฟัง
พระครูพรหมรับฟังพร้อมพยักหน้า ที่สุดท่านจึงแนะนำว่า คงต้องไปบอกให้พระที่เณรรูปนั้นอยู่ด้วยรับรู้ ส่วนจะทำอย่างไรต่อไป ไม่แน่ใจว่าพระรูปที่เป็นผู้ปกครองจะจัดการอย่างไรหรือไม่
รุ่งขึ้น พระปานดำเนินการตามที่พระครูพรหมแนะนำ รอสองวันไม่เห็นว่าเณรจะมาขอโทษหรืออย่างไร ที่สุดพระปานจึงต้องไปแจ้งให้เจ้าคณะที่เณรสังกัดทราบ ซึ่งพระเจ้าคณะเพียงรับรู้แล้วบอกว่าคงทำอะไรไม่ได้ ทั้งไม่ใช่ผู้ดูแลเณร เมื่อผู้ดูแลเขาไม่ทำอะไรก็ได้แต่รับรู้
เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความผิดที่พระปานเห็นว่า อย่างน้อยเณรรูปนั้นควรมาขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจไปบอกให้เจ้าคุณใหญ่ เจ้าอาวาสทราบ
ผลปรากฏว่า เย็นวันนั้น เณรมาที่กุฏิ พร้อมกับเพื่อนเณรอีกสองสามรูป เมื่อพบพระปาน เณรยกมือไหว้ เอ่ยขอโทษ พระปานบอกเณรไปว่า ไม่ใช่เรื่องระหว่างสองคน แต่เป็นเรื่องที่แสดงกิริยาไม่สำรวมในโบสถ์
“เอาอย่างนี้ ผมไม่ได้ติดใจเรื่องระหว่างเณรกับผม ผมอยากให้เณรรู้ว่า เราต่างเป็นพระเป็นเณร ควรเคารพซึ่งกันและกัน ผมขอให้เณรขอโทษขอขมาต่อพระพุทธรูปในห้อง ว่าต่อไปจะไม่ประพฤติเช่นนี้อีก ได้ไหม”
เณรคล้ายจะหันไปมองเพื่อนเณรขอความเห็น แล้วหันกลับมารับปาก เดินขึ้นไปบนกุฏิ จุดธูปพนมมือไหว้ต่อหน้าพระพุทธรูป “ว่าตามผม–กระผมขอขมาต่อพระพุทธที่แสดงกิริยาไม่สมควรในพระอุโบสถเมื่อวันก่อน” เสร็จแล้วก้มหัวลงกราบ ก่อนปักธูปลงในกระถางหน้าพระพุทธรูป
พระปานยิ้มให้เณร นัยว่าเป็นการไม่ถือโทษโกรธเช่นกัน แล้วต่างแยกย่ายกลับไป พระปานรู้สึกโล่งอกที่ไม่ทำอะไรรุนแรงกว่านี้ ทั้งเชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว