ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เรื่องอื้อฉาวด้านสุขภาพในจีนมีประวัติในการข้ามผ่านเลยออกไปจากพรมแดนของประเทศมาแล้วในอดีต
หลังจากพบนมผงสูตรของทารกปนเปื้อนสารเมลามีนเมื่อปี 2008 ที่ส่งผลกระทบต่อเด็กอ่อนหลายหมื่นคน สร้างความหวาดกลัวให้พ่อแม่ชาวจีนจนต้องหาซื้อนมผงจำนวนมากจากต่างประเทศ ทำให้นมผงในร้านค้าหลายแห่งในฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ขาดตลาด
ตอนนี้มีความกลัวในฮ่องกงว่ากรณีอื้อฉาวล่าสุดเรื่องวัคซีนที่ไม่ได้มาตรฐานในจีนแผ่นดินใหญ่จะส่งผลให้วัคซีนในฮ่องกงขาดตลาด
วัคซีนจำนวนหลายแสนโดสถูกพบว่าไม่ได้มาตรฐาน จุดชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวและความตื่นตระหนกเป็นวงกว้าง
และทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน ระบุว่า “เลวร้ายและน่าตกตะลึง”
แต่ความกังวลของพ่อ-แม่จำนวนมากท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวว่าอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากบริษัทผู้ผลิตเพียงแห่งเดียว และอาจเป็นปัญหาในวงกว้างมากกว่านี้
เสี่ยงที่จะส่งผลกระทบให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลของสี จิ้น ผิง และนโยบายหลัก “ไชนีสดรีม” ของเขา
ไชนีสดรีม หรือความฝันของจีน ได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกโดยสี เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012 และมีส่วนคล้ายคลึงเป็นอย่างมากกับอเมริกันดรีม
นั่นคือทุกคนสามารถก้าวหน้าและประสบความสำเร็จได้
พร้อมตระหนักว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้ถูกแบ่งปันอย่างเท่าเทียมในหมู่ประชากรของประเทศ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องสัญญาประชาคมเก่าแก่ที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดถึง ซึ่งพัฒนาขึ้นมาระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชนหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989
นั่นคือ “อย่าเขย่าเสถียรภาพทางการเมืองและคุณจะได้รับการแบ่งปันความมั่งคั่งของจีน”
ในหลายๆ ด้านแล้ว การหันหน้าสู่นโยบายไชนีสดรีมของสี จิ้น ผิง และการปราบปรามการคอร์รัปชั่น เป็นการตอบสนองต่อความรู้สึกของชาวจีนในวงกว้างว่า แม้ประเทศจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากเกินไปถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
กรณีอื้อฉาวล่าสุดที่ปรากฏขึ้นมาซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็ก เป็นการเน้นย้ำให้เห็นอีกครั้งถึงการรับรู้ที่ว่ามีความมักง่ายในการช่วยเหลือให้คนรวยกลายเป็นคนรวยมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ชนชั้นแรงงานถูกทิ้งให้ต้องพบกับปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยที่ย่ำแย่ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ในปัจจุบัน ความโกรธส่วนใหญ่ในเรื่องอือฉาวเกี่ยวกับวัคซีนพุ่งเป้าไปที่บริษัทผู้ผลิตฉางชุน ฉางเซิง ไบโอเทคโนโลยี
ผู้บริหารระดับสูง 5 คน รวมถึงประธานบริษัทที่เป็นผู้หญิงถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำร่วมกับเจ้าหน้าที่อีก 10 คน ในการสอบสวนคดีอาญาต่อบริษัท
ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้ายตัวหลักในกรณีนี้เป็นบริษัทเอกชน ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ว่า เหตุใดข่าวนี้ถึงได้รับการรายงานในสื่อจีน และหนีพ้นการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเซ็นเซอร์อย่างหนักบนอินเตอร์เน็ต
การแสดงความคิดเห็นกรณีนี้ของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง กับนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อ เฉียง ที่คล้ายคลึงกัน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามที่จะเงยหน้ารับคำวิพากษ์วิจารณ์
แต่คำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ บทบาทของหน่วยงานควบคุมดูแลอย่างองค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) ของจีนต่อกรณีนี้ และข่าวที่ว่าเคยมีการสอบสวนกรณีนี้ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะมีการนำวัคซีนดังกล่าวออกจากตลาดในเดือนนี้
“ประเทศของฉัน ฉันจะเชื่อคุณได้อย่างไร คุณทำให้ฉันผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นข้อความที่” ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่งโพสต์ไว้
ขณะที่แม่รายหนึ่งที่เปิดเผยเพียงว่านามสกุลเจิน จากมณฑลเหอเป่ย ระบุว่า “เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ของจีนให้กลับมาหลังเรื่องอื้อฉาวในครั้งนี้