บทวิเคราะห์ : จับตาคดีวิวาท “วัน อยู่บำรุง” ชี้อนาคตการเมืองรอดหรือร่วง!

เป็นข่าวดังสวนกระแสดูดขึ้นมาเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ “วัน อยู่บำรุง” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.409/2561 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย โดยมีอาวุธ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา “นายภานุวัฒน์ หรืออั๋น ปุณณรัตนกุล” นักธุรกิจทายาทร้านทองรุ่นที่ 2 “แม่ทองสุก” และเพื่อน พากันเข้าไปเที่ยวร้านเดโม่ผับ ซอยทองหล่อ 10 หลังจากร้านปิด ผู้เสียหายและเพื่อนเดินมาที่ลานจอดรถก็พบกับกลุ่มของนายวัน ซึ่งมาพร้อมกับลูกชายคือ “กาโม่” หรือ “นายอาชวิน อยู่บำรุง” และยังมีผู้ติดตามอีก 7-8 คน เข้าทำร้ายร่างกายนายภานุวัฒน์ และยังถูกผู้ติดตามนายวันชักอาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่คู่กรณีด้วย

ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ พร้อมกับเข้าร้องเรียนที่ บก.ป. ด้วย ทำให้ “วัน” ต้องเข้าห้องขังไปนอนมุ้งสายบัว 1 คืน ก่อนจะได้ประกันตัวในวันรุ่งขึ้นด้วยหลักทรัพย์ 3 แสนบาท

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นตามสำนวน

ตัดภาพมาที่การเมือง “วัน” ในฐานะลูกรักของ “ร.ต.อ.เฉลิม” เจ้าพ่อฝั่งธนฯ ผู้คุมพื้นที่เขตบางบอน ถือเป็นเขตใหญ่ของพรรคเพื่อไทยนั้น ถูก “ร.ต.อ.เฉลิม” วางตัวเป็นทายาททางการเมืองมาตลอด

ถึงขนาดมีเรื่องมีราวแตกหักกับ “คุณหญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยและประธานกลุ่ม ส.ส.กทม. เพราะเฮียเหลิมไฟต์ให้ลูกชายได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง

แน่นอน “วัน” ได้เปิดตัวลงสนามทางการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขตบางบอน เมื่อปี 2554 แม้ครั้งนั้น “วัน” จะแพ้ให้กับคู่แข่งที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม แต่ก็แพ้เพียง 1,000 กว่าคะแนนเท่านั้น

“วัน” เคยประกาศจะลงเลือกตั้งจนกว่าจะชนะ

เมื่อชนะแล้วยังจะลงต่อไปอีกเพื่อเป็นตัวแทนของครอบครัวอยู่บำรุงในเส้นทางสายการเมือง

“วัน” รู้ตัวเองดีว่า บนเส้นทางสายการเมืองมีโอกาสไปถึงฝัน เขาจึงขยันลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่อยู่เสมอ

ยิ่งหลังการรัฐประหารปี 2557 “วัน” เปิดเพจให้ประชาชนติดตาม โดยมีสโลแกนที่ใครต่างก็ติดหูว่า “ใจถึง พึ่งได้” หวังเปลี่ยนภาพลักษณ์ “พี่ใหญ่ฝั่งธนฯ” สายเกเร ให้กลายเป็น “นิววัน” หรือ “วันคนใหม่”

ซึ่งก็กำลังไปได้สวย มีแฟนคลับและยอดคนกดติดตามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พื้นที่เองก็กำลังไปได้สวยด้วยเช่นกัน สังเกตจากมีคนเชื้อเชิญให้เจ้าตัวเดินสายร่วมงานบุญ งานแต่งไม่เคยขาด จนมาเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับทายาทห้างทองแม่ทองสุกขึ้น

ไม่รู้เพราะความใจร้อน ความรักลูก หรือปัญหาบาดหมางส่วนตัวที่ทำให้ “วัน” ตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่ถือเป็นการตัดสินใจพลาดที่สุด เพราะทำให้เส้นทางการเมืองที่กำลังไปได้สวย พลิกกลับมาลุ่มๆ ดอนๆ ทันที

ไม่ใช่ทำให้ภาพลักษณ์เปลี่ยน แย่ หรือมัวหมองไปจากที่เป็น

ไม่ใช่ทำให้กระแสที่กำลังขึ้นตกลงไป

แต่การตัดสินใจครั้งนี้ อาจทำให้ตัวเขาเองไม่ได้ไปต่อในสนามเลือกตั้ง

เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2561 บัญญัติคุณสมบัติของผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส.ไว้หลายประการ ข้อที่ “วัน” ต้องกังวลหากคดีเป็นลบต่อตัวเขาคือ มาตรา 96(3) บุคคลที่ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

และมาตรา 98(7) บุคคลเคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

เท่ากับว่า หากคดีถึงที่สุดในเร็ววันนี้ หรือสิ้นสุดก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง และศาลตัดสินว่า “วัน” เป็นฝ่ายผิด เจ้าตัวมีโอกาสหมดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งในสนามสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น

นี่จึงเป็นอีกประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายจับตา เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมาผู้มีอำนาจอย่าง คสช. เองก็รับรู้ถึงกระแสความฮ็อตของ “พี่ใหญ่ฝั่งธนฯ” คนนี้มาไม่น้อย ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ทหารยศน้อย-ใหญ่แวะเวียนไปหาไม่ขาดสาย เมื่อเจ้าตัวเขี่ยบอลพลาด ไปเข้าทางฝ่ายตรงข้ามขนาดนี้ มีหรือฝ่ายที่ต้องการเขี่ย “วัน” ให้พ้นจากเส้นทางการเมืองจะปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไป

จากนี้การต่อสู้ตามกระบวนของ “วัน” เรียกได้ว่าหนัก แม้อัยการจะยังไม่ได้สั่งฟ้อง และยังต้องมีกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกมาก แต่ลักษณะของคดีก็ไม่ได้มีความซับซ้อนหรือยุ่งยากจนต้องทำให้การดำเนินการไต่สวนล่าช้า

อย่างไรก็ตาม คีย์แมนพรรคเพื่อไทยระบุว่า “กรณีของนายวัน ศาลต้องมีคำพิพากษาจนถึงที่สุดให้จำคุกและพ้นโทษมายังไม่เกิน 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง คดีดังกล่าวจึงต้องดูว่าคดีจะสิ้นสุดเมื่อใด คดีประเภทนี้เมื่อพิจารณาสถานะของผู้ต้องหาคงสู้กันยาวนาน คงไม่เสร็จสิ้นเร็ววันหรือก่อนเลือกตั้ง โดยรวมเขาคงจะมีสิทธิลงสมัครอยู่ แต่จะเป็นประเด็นที่พรรคจะนำมาพิจารณาว่าจะส่งหรือไม่ส่งสมัคร คงเป็นเรื่องที่พรรคต้องนำไปคิดต่อ”

ขณะที่เจ้าตัวยังมีความมั่นใจถึงอนาคตทางการเมืองภายหลังได้รับการประกันตัวมาสู้คดีต่อ ซึ่ง “วัน” ระบุว่า “ไม่ได้กังวล เพราะมองว่าการที่มีคดีความทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายเป็นเรื่องต่อตัวบุคคล และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ผมมั่นใจว่าคดีความที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องรอผลทางคดีว่าสุดท้ายแล้วจะออกมาเป็นเช่นไร ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายผมอาจจะไม่ใช่ฝ่ายผิดก็ได้”

น่าติดตามว่าการเลือกตั้งในปี 2562 จะมีชื่อของ “วัน” ได้ร่วมชิงชัยในนามพรรคเพื่อไทยหรือไม่