ทวีปที่สาบสูญ หรือแม่จะรู้แล้วว่า

เสียงใครทุบประตูดังโครมๆ จนรำคาญหูสิ้นดี หัวยังหนักตื้อและง่วงงุน ว่าจะไม่ลืมตา ทว่าก็ทนต่อเสียงกระแทกนั้นไม่ได้

“โว้ย! ตื่นแล้ว!!”

ตะโกนออกไป และลุกพรวด ผลักผ้าห่มพ้นตัว แต่เมื่อประตูเปิดออก

“แม่…”

แม่ยืนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม นุ่งผ้าถุงและเสื้อลายดอกแดง หากใบหน้าก็มีรอยฝ้ากร้านเห็นชัด

“จะหกโมงครึ่งแล้วนะ”

“…เอ้อ นึกว่ายายร่อยเสียอีก” ปากพูดออกไป นึกเจื่อนจนบอกไม่ถูก

“ไปดูอะไรข้างล่างสิ” แม่พูด แล้วก็หันหลังเดินออกไป

ทิ้งให้ฉันยืนเบื้อใบ้อยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะหันกลับเข้าห้อง

คงต้องทำทุกอย่างให้เร็วๆ

 

ที่ลานบ้าน ก็เหมือนทุกๆ วันที่ตื่นขึ้น เดินลงไป มีต้นไม้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ มีตุ่มเล็กๆ ใส่น้ำล้างตีนข้างเชิงบันได มีพุ่มเทียนหยดสีม่วง กุหลาบสีขาว กับราวระแนงไม้ไผ่ให้กลุ่มไม้เลื้อยเกาะพัน

เพียงในเช้านี้ มีฝอยฝนพร่างพรมลงมาเบาๆ อากาศดูจะมีสีเทาขมุกขมัว และนั่น เด็กผมขอดยืนเคียงกันกับแม่ ใกล้ๆ ใต้ถุนบ้าน

“หวัดดีค่ะพี่”

“อ้าว หนูปิม”

อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อเห็นละอองฝนกระเซ็นเปื้อนไปบนผมสีน้ำตาล

นึกอยากดุออกไป

“หัวเปียกแล้วนั่น เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก!”

น้องสาวของรอยยิ้มเจื่อน และเกือบเซไปเมื่อคว้าข้อมือให้เข้ามาใกล้ เพื่อโปะหัวให้ด้วยผ้าขาวม้าของตัวฉันเอง

“อยู่เฉยๆ! เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก กระหม่อมยิ่งบางๆ อยู่ด้วย”

“ใครกันแน่กระหม่อมบาง” แม่แทรกเสียง “พี่ อย่าดึงน้องแรงอย่างนั้นสิ เดี๋ยวหกล้มกันพอดี”

“งั้นก็อยู่นิ่งๆ” ฉันหันไปกำชับ

เด็กผมขอดรีบทำตาม เก็บมือไม้ไว้เรียบร้อย

“เห็นหรือยังล่ะพี่” แม่เรียก

“…อะไรคะ” เหลียวหา

แม่ชี้มือ

เพิ่งเห็น…สีส้มชูช่อพวยพุ่งเหมือนเปลวไฟ ในอากาศฉ่ำชื้นซึมเซา และเมื่อเราสามคนยืนด้วยกัน

แม่ยืนข้างฉัน

ฉันยืนข้างเด็กผมขอด

มองดูดอกไม้

“ดอกอะไรหรือแม่?”

“ดอกดองดึง” น้ำเสียงและแววตาบอกความรักใคร่ “ขอเหง้าเขามาจากสวนป่าปีก่อน สวยนะ เหมือนงู เหมือนไฟ เหมือนอะไรที่สวยแต่ก็มีพิษ…”

แต่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า ราวได้ยินคำพูดต่อท้ายมาอีกว่า

“…อยากให้ผู้หญิงเป็นแบบนี้”

 

คําพูดของแม่ยังติดอยู่ในหัวของฉัน แม้จะผ่านออกมาจากบ้าน ผ่านสายฝน ไปตามถนนที่เปียกชื้นในยามเช้าของวัน

ในบางครั้ง ฉันก็อยากจะคิดว่า ทั้งพ่อและแม่คือคนแปลกหน้า หลายครั้งที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก และต้องนึกอยู่เป็นนานว่า ตัวเองอยู่ที่ไหน

…มันคือความฝันอยู่ไหม บางที ก็สงสัยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ฉันแค่ยังหลับใหล และฝันว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่หรือเปล่า?

[ดอกไม้ของแม่สวยมากเลยนะ

จนฉันอยากจะให้…ใครสักคนเห็น

สีส้มที่เจิดจ้าในสายฝนหล่นเย็น

มันเป็นเหมือนทั้งงูพิษ

และเปลวไฟ

ดอกไม้ของแม่งอกงามขึ้นทุกวัน

แล้วดอกไม้ของฉันล่ะ

อยู่ไหน

เมื่อถนนเปียกฉ่ำน้ำเจิ่ง

แสนไกล

เราจะเดินทางไป

ถึงไหนกัน

หรือฉันควรจะเลิกคิดถึงใครใครเสียที

ในเมื่อก็ไม่เคยมี

สำหรับฉัน

และถ้าจะฉีกเสียให้สิ้นดอกไม้พวกนั้น

แสงตะวัน

จะดับไหม]

 

…ฉันกำลังนอนอยู่ในห้องน้อย แต่ฉันเห็นตัวฉัน แวดล้อมด้วยเปลวไฟลุกพลุ่งโพลงจนร้อน ร้อนเหลือเกิน ร่างกายตึงปริไปด้วยไอระอุที่สาดเข้ามาทุกทิศทุกทาง แขนขาปะป่าย คิ้วขมวดเครียดเกร็ง ริมฝีปากแห้งผาก อ้าปากร้อง

“ไม่…ไม่ อย่ายุ่งกับฉัน…อย่านะ!”

มีใบหน้าพร่าเลือนหลังประตู หลับตาแต่เหมือนลืมตา สิ่งกระแทกหัวใจคือดวงตาที่จ้องคาดคั้น

“ลูกทำใช่ไหม ลูกทำแบบนั้นใช่ไหม”

“ไม่…ไม่”

ส่ายหน้า ดิ้นรน แต่เหมือนถูกรั้งติดแผ่นฟูก ไฟยังแลบเลียใกล้เข้ามาทุกที เปลวกระหวัดสูงเหมือนลายกนก สีส้มเจิดจ้า กอดเกี้ยวดั่งมีชีวิต

“อย่าปฏิเสธ ฉันรู้ว่าทำ!”

“ไม่ ไม่!”

ร้อนรอบขอบตา ใช่ว่าเกิดมาไม่เคยโกหก แต่กับสิ่งนี้ ครั้งนี้ เป็นตายคงยอมรับไม่ได้ กลัว…กลัวเหลือเกินกับตาเหยี่ยวที่มองมา

“ลูกคิดไม่ดีกับปิมปาใช่มั้ย!”

“…มะ…ไม่”

“ยังจะโกหกอีกหรือ” แม่หัวเราะเสียงแหลมเสียดแทง “โกหกไม่ได้หรอก เพราะตุ๊กตาบอกมาหมดแล้ว”

ตุ๊กตา! จริงสิ…แม่มีตุ๊กตา!

รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ หายใจไม่ออกแล้ว อึดอัดเหลือเกิน ร้อน…แต่ก็หนาว ทำไมจู่ๆ ไฟจึงกลายเป็นน้ำในบึงเย็น ไหลมาจากไหนพลั่กๆ ทะลักลง เทลง เป็นเวิ้งสีขาวว้าง

“ปิมปา!”

 

ใบหน้าขาวซีดแสนสวยยืนอีกฝั่ง ตาที่มองมาเศร้าอะไรอย่างนั้น หยาดน้ำไหลลงแก้มที่เคยมีสีชมพูระเรื่อ

“หนูปิม!”

เสียงหัวเราะเสียดแหลม

“บอกแล้วโกหกไม่ได้ ตุ๊กตาบอกฉันมาหมดแล้ว!”

แม่ใช้สรรพนามสลับกันไปมา

“ปิมปากำลังจะโดนลงโทษ จำไว้นะ เรื่องนี้ผิดยิ่งกว่าผิดผีเสียอีก…ถ้าไม่ยอมรับ ทั้งเธอทั้งปิมปา จะได้รับโทษแสนสาหัส!”

“ไม่…ไม่!”

พยายามเปล่งเสียง สำนึกที่มีอยู่บอกให้รู้ว่ามีอะไรผิดตรงไหนสักแห่ง

“ฉันไม่ได้ทำผิด…แค่ทำอย่างที่…รู้สึก”

“งั้นหรือ”

แม่หัวเราะเสียงแหลมอีกครั้ง โยนตุ๊กตาไม้ไผ่นัยน์ตากลวงโบ๋ลงมา

จริงสินะ ตุ๊กตาตัวนี้ไม่มีลูกตา มีแต่ช่องว่างจากการถักสานไม้ไผ่ให้แลลอดทะลุเข้าไปได้

แต่เมื่อมองเข้าไป เห็นอุโมงค์สีดำทอดยาวลึกล้ำ ในนั้นมีเปลวบอบบางเหมือนแสงเทียนแสนไกล

“ฉันจะขอกับตุ๊กตา…”

แม่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แฝงความมาดหมาย แต่มีอะไรบางอย่างสั่นไหวมากับถ้อยคำเหล่านั้น

“เธออย่าฝันว่าจะสมหวัง เรื่องแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครสมหวัง…เชื่อฉันเถอะ ถ้าเธอไม่อยากตกนรกทั้งเป็น อย่าทำ!”

“ไม่ได้ทำอะไร!”

ฉันกลัวจับใจ ไม่รู้ว่ากลัวแม่ หรือกลัวตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตตัวนั้น เป็นความพรั่นพรึงสุดอธิบายได้ น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ส่วนปิมปามองมาด้วยความโศกเศร้า ใจจะขาด

“อย่า-โก-หก-ฉัน”

แม่ชะโงกหน้าพูดหนักแน่นทีละคำ ตุ๊กตาล้มเค้เก้ข้างตัว ฉันตัวเย็นเฉียบ

“ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็น…อย่างฉัน”

“แม่!”

 

ทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้น ไม่มีเปลวไฟ ไม่มีถนน ไม่มีสายฝน ไม่มีอะไรเลย นอกเสียจากแดดสว่างจ้า

มีคนวิ่งเข้ามาหา

“อะไรๆ มีอะไร!”

ใบหน้าที่เริ่มคุ้นเคย ชะโงกมาจนใกล้ตา

“โอย…ฝันร้าย” ฉันยกมือลูบหน้า

เพื่อนใหม่ที่ทำงานด้วยกันกลางนา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ จนพื้นฟากยวบไหว

“ฝันว่าอะไร! แทงเลขได้มั้ย!”

ฉันก็เหมือนคนอื่นๆ ที่หลังกินข้าวเที่ยงก็จะต้องพักงีบหลับตา งานในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบหนักหนาเหนื่อยล้า ถ้าไม่รีบเอาแรงเมื่อมีเวลา กว่าจะได้พักร่างก็อีกนานยาว

แต่นี่คืออะไร ทั้งๆ ที่มองไปเห็นแต่เปลวแดดพร่า เพื่อนใหม่ชื่อหวานนั่งอยู่ข้างๆ ทว่าฉันกลับยังรู้สึกหวาดไหวในอุโมงค์มืด

…ในตาตุ๊กตา

หรือแม่จะรู้แล้วว่า…สิ่งที่เด็กผมขอดได้รับจากฉัน…