อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ : ศิลปินผู้ใช้ร่างกายท้าทายความเจ็บปวด

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ในตอนที่ผ่านมา เรากล่าวถึงศิลปินที่ทำงานศิลปะด้วยการใช้ร่างกายตัวเองท้าทายขีดจำกัดอย่างสุดขีดคลั่งไปแล้ว

ในตอนนี้เราจะขอกล่าวถึงศิลปินอีกคนที่ใช้ร่างกายตัวเองท้าทายความเจ็บปวดอย่างสุดขั้วไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย

ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า

คริส เบอร์เดน (Chris Burden)

ศิลปินอเมริกันผู้ทำงานศิลปะการแสดงสด, ประติมากรรม และศิลปะจัดวาง ที่สร้างผลงานศิลปะที่ชวนช็อกที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะอเมริกันในศตวรรษที่ 20 ด้วยการท้าทายผู้ชมให้ตรวจสอบขอบเขตของศีลธรรมของตนเอง

และผลักดันขอบเขตของคำถามที่ว่า อะไรสามารถเป็นศิลปะได้บ้าง?

ในช่วงต้นยุค 1970 เบอร์เดนเริ่มต้นใช้ร่างกายของเขาเป็นเครื่องมือในการทำงานศิลปะแสดงสดอันเปี่ยมอันตราย เบอร์เดนมุ่งมั่นทำผลงานศิลปะการแสดงสดอันรุนแรง เพื่อสำรวจธรรมชาติของความเจ็บปวด ด้วยการสร้างสถานการณ์สุดขีดคลั่งที่เขาต้องเผชิญด้วยตัวเอง

Shoot (1971) © Chris Burden. Courtesy of the artist and Gagosian Gallery, ภาพจากhttps://bit.ly/2u5NPaY

ดังเช่นในผลงานสุดอื้อฉาวของเขาอย่าง Shoot (1971) ที่เบอร์เดนขอให้เพื่อนของเขายิงเขาด้วยปืนไรเฟิล .22 ที่ต้นแขน ในพื้นที่แสดงงาน โดยมีผู้ชมร่วมเป็นประจักษ์พยานอยู่ด้วย

เบอร์เดนทำศิลปะการแสดงสดเปี่ยมอันตรายครั้งนี้ขึ้น เพื่อแสดงให้ผู้ชมได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกยิงแบบจะจะ เพื่อให้ผู้ชมเหล่านั้นสัมผัสกับประสบการณ์อันรุนแรงนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่นั่งดูมันจากจอโทรทัศน์อย่างสบายอกสบายใจบนเก้าอี้นวมที่บ้านอย่างที่แล้วๆ มา

“จู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกขึ้นมาว่า การถูกยิง มีความเป็นอเมริกันไม่ต่างอะไรกับพายแอปเปิล ทุกๆ วันเราเห็นคนถูกยิงทางทีวี, เราอ่านเรื่องคนถูกยิงในหนังสือพิมพ์ ทุกๆ คนต่างสงสัยว่าการถูกยิงมันเป็นยังไงกันแน่? ผมเลยทำให้พวกเขาดูซะเลย”

ผลงานชิ้นนี้ยังตั้งคำถามถึงธรรมชาติของอำนาจและความรับผิดชอบต่ออำนาจของกองทัพ และการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างไม่มีข้อแม้ของผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งเขายังต้องการแสดงภาพความเป็นจริงของความเจ็บปวดให้ผู้ชมได้สัมผัส

ในยุคสมัยที่ชาวอเมริกันชินชาไม่ยี่หระต่อภาพของทหารอเมริกันจำนวนมหาศาลที่บาดเจ็บล้มตายในสงคราม และความรุนแรงที่ครอบงำสื่อกระแสหลัก

ที่สำคัญ ผลงานชิ้นนี้เป็นเสมือนหนึ่งการแสดงปฏิกิริยาต่อต้านสงครามเวียดนามของเบอร์เดนนั่นเอง

หรือในผลงาน Through the Night Softly (1973) ที่เบอร์เดนทำการเปลื้องเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงใน มัดมือตัวเองไพล่หลังทั้งสองข้าง แล้วกลิ้งเกลือกร่างกายไปบนเศษแก้วจนเลือดโชกต่อหน้าต่อตาผู้ชมทั้งหลาย

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังซื้อโฆษณารอบดึกเพื่อเผยแพร่คลิปบันทึกภาพศิลปะการแสดงสดโชกเลือดนี้ให้ผู้ชมทางบ้านได้ชม เพื่อสร้างความกระอักกระอ่วนให้พวกเขาถึงบ้านกันอีกด้วย

หรือในผลงานอย่าง Trans-Fixed (1974) ที่เบอร์เดนทำการตรึงตัวเองเข้ากับรถโฟล์กเต่าด้วยการตอกตะปูทะลุฝ่ามือสองข้างของตัวเองติดกับหลังคารถ จากนั้นก็เลื่อนรถออกจากโรงเก็บรถ เพื่อแสดงภาพสุดหวาดเสียวต่อหน้าเหล่าบรรดาผู้ชม

Trans-Fixed (1974),ภาพจากhttps://bit.ly/2J7Y9nq

โดยรถยนต์ถูกเร่งเครื่องจนดังสนั่นราวกับเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเขา

ภาพที่ออกมาดูคล้ายกับการตรึงกางเขนของพระเยซู หรือไม่ก็เป็นเหมือนกับแมลงที่ถูกสตัฟฟ์อยู่ก็มิปาน

ด้วยผลงานชิ้นนี้ เบอร์เดนนำพาผู้ชมออกจากพื้นที่ปลอดภัย และย้ำเตือนพวกเขาเกี่ยวกับความเป็นจริงของความเจ็บปวด ที่มักจะถูกเพิกเฉยหรือไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำไป ไม่ต่างอะไรกับภาพของพระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน ซึ่งเป็นภาพที่คนเห็นกันจนชินชา

แต่หลายคนอาจลืมไปว่า ความเป็นจริงในยุคสมัยโบราณ มีผู้คนมากมายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขน ซึ่งเป็นการรอคอยความตายที่ยาวนานและทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง

นอกจากจะเผชิญหน้าความรุนแรงและความเจ็บปวดอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูด้วยตัวเองแล้ว เขายังผลักขอบเขตศิลปะแสดงสดชวนช็อกของเขาไปไกลและหนักข้อยิ่งกว่า

ดังเช่นในผลงาน TV Hijack (1972) ที่เขาทำขึ้นขณะกำลังให้สัมภาษณ์สดในรายการของสถานีโทรทัศน์แคลิฟอร์เนีย

โดยจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาจับตัวฟิลลิส ลุตจีนส์ (Phyllis Lutjeans) พิธีกรสาวของรายการเป็นตัวประกัน ด้วยการควักมีดออกมาจี้คอ และขู่เอาชีวิตเธอ ถ้าหากรายการหยุดออกอากาศ

เบอร์เดนกล่าวในภายหลังว่า เขาขู่ว่าจะทำให้เธอแสดงท่าทางลามกอนาจาร แต่ลุตจีนส์ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เขาไม่เคยพูดแบบนั้น และยังกล่าวว่า เธอจำได้ว่าเขาแอบกระซิบบอกเธอว่า “ฟิล, ไม่ต้องกังวลนะ” เธอเลยรู้ว่าเขากำลังทำงานศิลปะแสดงสดอยู่

เบอร์เดนตั้งคำถามกับบทบาทของศิลปะ ว่ามันสามารถเป็นอะไรมากกว่าสิ่งสวยงามสูงค่าที่สงวนไว้สำหรับอภิสิทธิ์ชน และห่างไกลจากคนทั่วไป หรือศิลปินควรจะมีขอบเขต หรือไปไกลได้แค่ไหนในการกระตุ้นให้ผู้คนฉุกคิดและตระหนักรู้ ซึ่งอันที่จริง ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว ผู้ชมเหล่านั้นก็สามารถยับยั้งหรือหยุดการกระทำอันรุนแรงต่อตัวเองของเบอร์เดนได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขาก็ไม่ลงมือทำ

ผลงานของเบอร์เดนจึงเป็นเสมือนการกระตุ้นและท้าทายผู้ชมให้ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ทั้งในขอบเขตของงานศิลปะของเขา รวมถึงในบริบทที่ใหญ่กว่าอย่างเรื่องของมนุษยชาติโดยทั่วๆ ไปนั่นเอง

ลักษณะเฉพาะอีกประการในผลงานของเขาก็คือ เบอร์เดนมักจะบันทึกวิดีโอผลงานของเขาเอาไว้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงานที่สามารถเก็บรักษาได้ ต่างกับศิลปินศิลปะแสดงสดคนอื่นๆ ที่มักปล่อยให้งานเกิดขึ้นชั่วคราวและสูญสลายหายไป เพื่อแสดงถึงความไม่จีรังยั่งยืน

นอกจากผลงานศิลปะแสดงสดแล้ว เขายังทำงานศิลปะจัดวางที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองอย่างแยบคาย

ดังเช่นในผลงาน L.A.P.D. Uniforms (1993) ที่เบอร์เดนทำขึ้นหนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์จลาจลที่เมืองลอสแองเจลิส ในปี 1992 (1992 Los Angeles riots) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและสีผิวของกรมตำรวจแอลเอ (LAPD)

L.A.P.D. Uniforms (1993), © Chris Burden / licensed by The Chris Burden Estate and Artists Rights Society (ARS), New York, ภาพจากhttps://bit.ly/2N46qv2

โดยเบอร์เดนทำงานศิลปะจัดวางด้วยการแขวนเครื่องแบบของตำรวจแอลเอไว้บนผนัง ให้ดูคล้ายกับตุ๊กตากระดาษ โดยให้แขนเสื้อกางออกจนดูคล้ายปีกเครื่องบิน

ผลงานชิ้นนี้แสดงถึงพลังอำนาจของภาพจากสื่อมวลชน ที่กลายเป็นหลักฐานและเครื่องมืออันสำคัญของประชาชนในการต่อสู้กับอำนาจรัฐอันไม่เป็นธรรม

นอกจากผลงานศิลปะที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองอันเข้มข้นแล้ว เบอร์เดนเองก็ทำงานศิลปะแบบสวยๆ งามๆ กับเขาด้วยเหมือนกัน

ดังเช่นในผลงานศิลปะจัดวางสาธารณะ Urban Light (2008) ของเขา ที่ติดตั้งอยู่บนถนน Wilshire Boulevard ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ Los Angeles County Museum of Art (LACMA) ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

Urban Light (2008), เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณ Wanderlust PrettyNuts

ผลงานจัดวางชิ้นนี้ประกอบด้วยโคมไฟถนน 202 ดวง

เดิมทีโคมไฟเหล่านี้เป็นโคมไฟถนนจริงๆ ที่เคยถูกติดตั้งอยู่บนถนนในลอสแองเจลิสและเมืองใกล้เคียงในช่วงปี 1920 โดยมีรูปแบบแตกต่างกัน 17 แบบ ตามแหล่งที่มา

มันมีความสูงราว 20 ถึง 30 ฟุต โดยถูกเอามาทาสีใหม่ และจัดวางเรียงรายเป็นแถวๆ คล้ายกับป่าโคมไฟ

ตัวโคมไฟใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เปิดด้วยระบบอัตโนมัติในเวลากลางคืน

Urban Light (2008),เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณ Wanderlust PrettyNuts

ผลงานศิลปะสาธารณะชิ้นนี้ช่วยเปลี่ยนภูมิทัศน์อันเงียบเหงาซบเซาแห่งนั้นให้มีชีวิตชีวาขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นสถานท่องเที่ยวยอดฮิตของคนในเมืองและนักท่องเที่ยว

และกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองลอสแองเจลิสไปในที่สุด

ในฐานะศิลปิน คริส เบอร์เดน ขยายขอบเขตและพรมแดนของความเป็นไปได้ทางศิลปะได้ยิ่งกว่าศิลปินอเมริกันคนไหนๆ ด้วยการบังคับให้ผู้ชมและนักวิจารณ์ศิลปะ นิยามความคิดและทัศนคติของตัวเองเกี่ยวกับศิลปะเสียใหม่ ว่ามันคืออะไร?

และสามารถทำอะไรได้บ้าง?

เขาพิสูจน์ให้เราเห็นว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องมีบทสรุปเป็นตัววัตถุที่จับต้องได้ หากแต่สามารถเป็นประสบการณ์ และก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้

ถึงแม้ผลงานหลายชิ้นของเขาจะสร้างความอึดอัดและกระอักกระอ่วนให้กับผู้ชมจนทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ชมผลงานของเขาแบบสดๆ เท่าไหร่นัก

แต่ผลงานของเขาก็ถูกเก็บบันทึกไว้ในรูปแบบของภาพถ่าย, ข้อเขียน และวิดีโอให้คนรุ่นหลังได้ชมและศึกษา

ผลงานซึ่งส่งอิทธิพลต่อศิลปินคอนเช็ปช่วล, เพอร์ฟอร์มานซ์ และศิลปะจัดวางรุ่นหลังอย่างมากมายมหาศาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปินเพอร์ฟอร์มานซ์คนสำคัญอย่างแคโรลี คนีมานน์ (Carolee Schneemann) และมารีนา อบราโมวิช (Marina Abramovic) เป็นอาทิ

คริส เบอร์เดน เสียชีวิตในวันที่ 10 พฤษภาคม 2015 ด้วยวัย 69 ปี

เหลือทิ้งไว้แต่แรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะอันสุดแสนจะท้าทายของเขา

ข้อมูลจาก https://bit.ly/2L4uZL7, https://bit.ly/2u5NPaY