สมภพ มานะรังสรรค์ : ถอดรหัส “สีจิ้นผิง” New Normal ปฏิรูปจีน

ธันวาคม 2538 สีจิ้นผิงร่วมลงแรงทำงานในพื้นที่จริงของงานเสริมสร้างความมั่นคงแข็งแกร่ง แก้เขื่อนกั้นน้ำทางตอนล่างของแม่น้ำหมิ่นเจียง ที่ อ.หมิ่นโฮ่ว ครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคประจำมณฑลฝูเจี้ยน และเลขาธิการพรรคประจำเมืองฝูโจว

ในยุคสมัยโลกาภิวัตน์ การขยับตัวของชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะในแง่มุมใด ย่อมเป็นจุดสนใจ และกลายเป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานความเป็นไปของประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้ ให้เดินตามทางใดก็ทางหนึ่ง

1 ในมหาอำนาจที่ทั่วทั้งโลกจับตามองในทุกการเคลื่อนไหว คือ พญามังกรอย่างจีน ที่ไม่ว่าจะขยับตัวด้านไหนพญามังกรตัวนี้ก็มักจะทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน

ดังเช่น กรณีการเติบโตของเศรษฐกิจที่พุ่งพรวดจนหยุดไม่อยู่ ทำให้เราเห็นเศรษฐีใหม่ของจีน เข้ากว้านซื้อกิจการบริษัทต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่บริษัทในยุโรปหรืออเมริกา

หรือในอีกทางหนึ่งที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างร้อนแรง จนทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็มีการประเมินกันว่า จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงสภาพเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่อีกหนึ่งมหาอำนาจอย่างอเมริกา

อีกประการสำคัญ ที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตามองการขยับของพญามังกรตัวนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ หรือประธานาธิบดี ที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของจีน

โดยการเปลี่ยนแปลงผู้นำของจีนครั้งล่าสุดคือการก้าวขึ้นมาของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ต่อจากนายหูจิ่นเทา เมื่อปี 2013

ซึ่งการขึ้นสู่อำนาจของสีจิ้นผิงในตอนนั้น จีนกำลังอยู่ในช่วงที่เผชิญปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่มีความสุ่มเสี่ยงจะเกิดภาวะฟองสบู่แตก รวมถึงปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมือง จีนยังเอนเอียงไปสู่การเป็นทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ

แต่การขึ้นมาของสีจิ้นผิง ตลอดจนบริหารประเทศมาได้ 3 ปี จีนเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ที่สีจิ้นผิงให้ความสำคัญและแก้ปัญหาด้วยความเด็ดขาด

รวมถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจที่สีจิ้นผิงใช้ความเชี่ยวชาญในทฤษฎีมาร์กซิสม์ แก้ไขปัญหาจนออกมาเป็น New Normal นำพาจีนรอดพ้นภาวะฟองสบู่แตก และยังสร้างความสมดุลให้แก่โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนไม่ให้เอนเอียงเข้าสู่โลกของทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบมากเกินไป

12998473991299848082l

ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนภาพบทบาทของสีจิ้นผิงในช่วงที่ผ่านมาว่า สีจิ้นผิงเป็นผู้นำที่มีการผสมผสานหลายส่วนอยู่ในตัวเอง

ด้านหนึ่งคือ นักปฏิรูป ที่เปิดกว้างในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เห็นได้จากผลงานตอนเป็นเลขาธิการพรรคฯ ที่มณฑลฝูเจี้ยน ที่เปิดความสัมพันธ์กับไต้หวันอีกครั้ง จนเกิดการลงทุนของนักธุรกิจไต้หวันในภาคตะวันออกของจีน

แต่อีกด้านหนึ่ง สีจิ้นผิง เป็นนักทฤษฎีมาร์กซิสม์ตัวยง ที่ซึมซับจากความยากลำบากจากการออกชนบทเมื่อครั้งปฏิวัติวัฒนธรรมจีน และเมื่อกลับมาเรียนระดับมหาวิทยาลัย ก็เรียนรู้และใช้ทฤษฎีมาร์กซิสม์ในการเขียนวิทยานิพนธ์

ทำให้สีจิ้นผิงมีความแตกฉานในทฤษฎีของสังคมนิยมด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานต่างๆ ของสีจิ้นผิงจะมี 2 ด้านที่ว่าประกอบเข้าด้วยกัน คือเรื่องของความทันสมัยและเปิดกว้างด้านการปฏิรูป ภายใต้ความเป็นสังคมนิยมในอัตลักษณ์แบบจีนแฝงอยู่

Britain's Queen Elizabeth II hosts a State Banquet for Chinese President Xi Jinping at Buckingham Palace in London, on October 20, 2015,on the first official day of Xi's state visit. Chinese President Xi Jinping arrived for a four-day state visit as the government of Prime Minister David Cameron seeks stronger trade ties with the world's second-largest economy. AFP PHOTO / POOL / DOMINIC LIPINSKI
AFP PHOTO / POOL / DOMINIC LIPINSKI

ดร.สมภพ ยังฉายภาพให้เห็นถึงแนวคิดและความเป็นตัวตนของสีจิ้นผิงผ่านผลงานการบริหารที่เกิดขึ้น เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การพัฒนาประเทศ ด้วยการชูนโยบาย New Normal เพราะก่อนหน้านั้น จีนกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบอย่างรวดเร็วปีละ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผ่านภาคอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ มีการลงทุนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทุกมณฑลมีอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากมาย จนมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะฟองสบู่อย่างเด่นชัด

เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่ง สีจิ้นผิง จึงชู New Normal พร้อมปฏิรูประบบเศรษฐกิจใหม่ 3 ด้านคือ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ปฏิรูปการเงิน และปฏิรูประบบราชการรวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ซึ่งในการปฏิรูประบบราชการนี้ ถือเป็นผลงานสำคัญ

เพราะภายใต้การเติบโตทางเศรษฐกิจที่พุ่งพรวด มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นอย่างมากมายในวงราชการ สีจิ้นผิงจึงใช้การปฏิรูปนี้กวาดล้างการคอร์รัปชั่นอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลงานที่สำคัญของสีจิ้นผิง คือ การปฏิรูปกองทัพ ที่ไม่มีผู้นำของจีนคนไหนกล้าทำง่ายๆ เหมือนสีจิ้นผิง แต่ด้วยพื้นหลังที่เป็นพลเรือนที่เติบโตมาในกองทัพ ทำให้มีความใกล้ชิดกับนายทหารรุ่นใหม่ จึงสามารถควบคุมกองทัพไว้ได้

ขณะเดียวกัน ด้านนโยบายต่างประเทศ สีจิ้นผิงก็ชูนโยบาย One belt, One road เส้นทางสายไหมที่เชื่อม 60 ประเทศ ใน 3 ทวีป เป็นเส้นทางการค้าใหม่ของจีน

ดร.สมภพ กล่าวว่านโยบายนี้ ถือเป็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญที่สุดในยุคของสีจิ้นผิง เนื่องจากใน One belt, One road มีประชากรถึง 4 พันกว่าล้านคน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรทั้งโลก

จึงไม่น่าแปลกใจที่จีนให้ความสำคัญกับนโยบายนี้ เพราะแฝงไปด้วยนัยยะในทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยนัยยะทางเศรษฐกิจ คือ การช่วยยกระดับประเทศในเส้นทางนี้อย่างทวีปแอฟริกา 50 ประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมโยงในเรื่องของสังคมและการเมืองมีสูงขึ้น

US President Obama hosts Chinese President Xi Jinping at the White House for a State visit on September 25, 2015 in Washington,DC. AFP PHOTO/JIM WATSON
AFP PHOTO/JIM WATSON

นอกจากนี้ แนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นและถูกเน้นย้ำเสมอในยุคของสีจิ้นผิง คือแนวคิด “สังคมนิยมภายใต้อัตลักษณ์แบบจีน” ดร.สมภพ อธิบายว่า “สังคมนิยมภายใต้อัตลักษณ์แบบจีน” คือ การสร้างความสมดุลด้วยการเชื่อมโยงความคิดแบบทุนนิยมเข้ากับสังคมนิยม เพื่อสร้างแบบฉบับของจีนให้เป็นทางเลือกใหม่ๆ ทางด้านเศรษฐกิจ ระบบการเงินโลก แทนที่จะมีศูนย์กลางเพียงจุดเดียว และสร้างทางเลือกใหม่ให้เกิดการถ่วงดุลของทุนนิยมดั้งเดิมให้สมดุลมากขึ้น

ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวประกอบกับตัวตนของสีจิ้นผิง ในเรื่องของความทันสมัย ก็กลายเป็นที่มาของอีกหนึ่งนโยบายคือ Made in China 2025

ดร.สมภพ อธิบายว่า Made in China 2025 ก็คือ industry 4.0 หรือคล้ายกับประเทศไทย 4.0 ประกอบไปด้วย ความสมดุลทางเศรษฐกิจ ความสมดุลทางการเมือง ความสมดุลทางสังคม ความสมดุลทางวัฒนธรรม และความสมดุลทางสิ่งแวดล้อม

ซึ่งจะเป็นธงนำในการมุ่งไปของจีนในอนาคต

AFP PHOTO / POOL / Fiona GOODALL
AFP PHOTO / POOL / Fiona GOODALL

ทั้งนี้ หากพิจารณาดูที่กล่าวมาจะเห็นว่า บทบาทของสีจิ้นผิงในฐานะผู้นำของจีน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมจีนและสังคมโลกอย่างมาก

นอกจากผลงานที่ได้กล่าวมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ตัวตนของสีจิ้นผิงได้คือ สุนทรพจน์ ปาฐกถา ถ้อยแถลง บทสัมภาษณ์ โอวาท จดหมายอวยพร ต่างๆ ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานสารนิเทศแห่งคณะรัฐมนตรีประเทศจีน ร่วมกับสำนักวิจัยเอกสารเชิงประวัติศาสตร์แห่งส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และกรมการจัดพิมพ์จำหน่ายหนังสือภาษาต่างประเทศแห่งประเทศจีน รวบรวมออกมาเป็นหนังสือ Xi Jinping : The Gorvernance of China ที่มียอดจำหนายไปกว่า 4.5 ล้านเล่ม ใน 100 ประเทศทั่วโลก ถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 12 ภาษา

ซึ่งในฉบับภาษาไทยนั้น สำนักพิมพ์มติชนได้รับลิขสิทธิ์ในการพิมพ์และจัดจำหน่าย ในชื่อ “สีจิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ”

7

ดร.สมภพ บอกว่า ในหนังสือ “สีจิ้นผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ” จะเป็นการรวบรวมผลงานของสีจิ้นผิงในครึ่งแรกของการเป็นผู้นำสมัยที่ 1 ที่ว่าด้วยปรัชญาของสังคมนิยมที่เป็นที่มาของคำว่า จีนใหม่ นอกจากนี้ ยังพูดถึงเรื่องของการปฏิรูประบบราชการแผ่นดิน เรื่องการปฏิรูปกองทัพ เรื่องการรักษาความสมดุล เรื่องนโยบายต่างประเทศของจีน เรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงสิ่งที่ถูกเน้นย้ำมากในหนังสือ คือ เรื่องนวัตกรรม ที่มีหัวข้อแยกออกมา ว่าจีนเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านต่างๆ อย่างไร มีการปฏิรูปด้านการศึกษาอย่างไร

ฉะนั้น หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เห็นว่าประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจะมีส่วนอย่างไรในการนำพาประเทศของตัวเอง

และมีส่วนอย่างไรในการโลดแล่นในสากล ภายใต้คำว่า China go out แบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้