นงนุช สิงหเดชะ/วิกฤตของจริงอยู่ที่ ‘ปาก’

รายงานพิเศษ / นงนุช สิงหเดชะ

 

วิกฤตของจริงอยู่ที่ ‘ปาก’

 

ไม่รู้ว่าจะช่วยรัฐบาล “ตัดแต้ม” ไปอีกกี่ครั้ง สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่สร้าง “วิกฤต” ของจริงให้กับการท่องเที่ยวของไทย เมื่อพลั้งปากพูดแบบไม่คิด ว่า “คนจีนทำกันเอง” หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดจากเหตุเรือนำเที่ยว “ฟีนิกซ์” ถูกคลื่นซัดอับปางกลางทะเลภูเก็ต ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิตมากถึง 47 ราย
โดยปกติเมื่อเกิดเหตุใหญ่เช่นนี้ การท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากการขาดความมั่นใจของนักท่องเที่ยว
แต่ในเมื่อคนใหญ่คนโตในรัฐบาลไปพูดในลักษณะสร้างความโกรธและกระทบจิตใจ ก็ยิ่งทำให้ผลกระทบนั้นรุนแรงถึงขั้นวิกฤต
เนื่องจากพอคำพูดนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโซเชียลมีเดียที่เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ทำให้ชาวจีนปลุกกระแสบอยคอต ไม่มาท่องเที่ยวเมืองไทย
ที่หนักกว่านั้นก็คือชาวจีนมีการเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ทั้งที่ในวันที่ 9 กรกฎาคม นั้น พล.อ.ประยุทธ์หวังจะบรรเทาสถานการณ์และบริหารอารมณ์คนจีนด้วยการบินลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยและญาติของทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพื่อแสดงความเอาใจใส่
แต่ที่กรุงเทพฯ วันเดียวกันนั้น พี่ใหญ่ “ป้อม” ผู้เป็นรองนายกฯ กลับกล่าววาจาที่ให้ผลตรงข้าม “เรือท่องเที่ยวก็เป็นของคนจีน เขาทำกันเอง แล้วจะให้ทำอย่างไร เขาไม่เชื่อคำเตือนกรมอุตุฯ”
ความหมายของ พล.อ.ประวิตรคือต้องการบอกว่า เจ้าของเรือนำเที่ยวดังกล่าวมีชาวจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้คนไทยเป็นนอมินี

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นนอมินีหรือไม่ และเรือนี้จะเป็นของคนจีนหรือไม่ ทางการไทยก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ
เพราะเหตุที่เกิดขึ้นเท่ากับประจานว่าทางการไทยขาดความสามารถในการควบคุมกวดขันตั้งแต่ 1.ปล่อยให้มีนอมินี ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกวดขันอย่างเคร่งครัด 2.ปล่อยให้มีการต่อเรืออย่างผิดกฎหมายและไม่ได้มาตรฐาน 3.เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ (กรมเจ้าท่า) ยอมให้เรือออกจากฝั่ง หรือขาดการควบคุมดูแล ณ ท่าเรือ
หลังจากเกิดเหตุครั้งนี้และมีการสอบสวนข้อเท็จจริง ยิ่งเปิดให้เห็นแผลขนาดใหญ่ของระบบราชการไทย
ที่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องการเข้าไปรับผลประโยชน์จากธุรกิจท่องเที่ยว จนมีการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ กระทั่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ความปลอดภัย” ทางการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ถูกยกระดับ ไม่ว่าจะทางบกหรือทางทะเล
อยู่บนบก ก็เจอปัญหารถทัวร์ รถตู้ ที่ขาดมาตรฐานความปลอดภัย ทั้งตัวรถและคนขับ ทำให้ทัวร์จีนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่เนืองๆ
ไหนจะเจอพวกแท็กซี่ (กลุ่มหนึ่ง) จี้ปล้น ข่มขืน หรือโกงค่าโดยสารอีก

พล.อ.ประวิตรนั้น มีปัญหาในการพูดมาแต่ไหนแต่ไร และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ไม่เคยจำเป็นบทเรียน
อันที่จริงหากต้องการจะสื่อว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นคนจีนมีส่วนทำให้เกิดขึ้น ก็มีวิธีการพูดมากมายแบบอ้อมๆ โดยอาจจะพูดแค่ว่า “เท่าที่ได้รับทราบข้อมูล เจ้าของเรือลำนี้มีคนจีนเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย”
แต่การที่เลยเถิดไปฟันธงว่า “ก็คนจีนทำกันเอง” (ความหมายคือคนจีนด้วยกันทำให้คนจีนตาย) ซึ่งฟังแล้วคล้ายกับรัฐบาลไทยปัดความรับผิดชอบ ก็ยิ่งไปเพิ่มความไม่พอใจเป็นทวีคูณ
โลกยุคนี้การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียนั้นแพร่กระจายเร็ว หากสื่อสารไม่ชัดเจน พูดไม่ไตร่ตรอง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับมหาวิกฤตขึ้นมาได้

ตามข้อมูลของสมาคมโรงแรมภาคใต้ บอกว่า ณ วันที่ 14 กรกฎาคม โรงแรมที่เป็นสมาชิกของสมาคม 19 แห่ง (จากทั้งหมด 180 แห่ง) ได้รายงานมาเบื้องต้นว่าถูกนักท่องเที่ยวจีนยกเลิกห้องพักแล้ว 7,300 ห้อง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั้งรถทัวร์ เรือนำเที่ยว ร้านค้าและอื่นๆ อีกมากมาย
สมาคมคาดว่า โดยรวมแล้วจะมีการยกเลิกห้องพักราว 30% และคาดว่าจะเกิดผลกระทบระยะสั้นอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งปกติแล้วช่วงนี้อยู่นอกฤดูท่องเที่ยวหรือโลว์ซีชั่น นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะจากยุโรปมีน้อยอยู่แล้ว ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากเอเชียเป็นหลัก โดยเฉพาะจากจีนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด
ปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยคิดเป็น 20% ของจีดีพีของประเทศ ซึ่งนับว่าสูง โดยปีที่แล้วทำรายได้ 2.75 ล้านล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน ส่วนปีนี้ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยว 37 ล้านคน สร้างรายได้ 3 ล้านล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดและมีการใช้จ่ายต่อหัวสูงที่สุด
สภาพที่เกิดขึ้นกับท่องเที่ยวไทยก็คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็โปรโมตไปสิ ทั้งใช้งบฯ จัดอีเวนต์ งบฯ ออกไปโรดโชว์ต่างประเทศ จ่ายค่าโฆษณาผ่านทีวีระดับโลกอย่างซีเอ็นเอ็น ไปสิ แต่สุดท้ายก็มาเสียเปล่า เจ๊า เพราะ “ปาก” เจ้ากรรม ของบางคนในรัฐบาล

เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็ก่อวิกฤตให้ตัวเอง (และรัฐบาล) ด้วยการพูดถึงนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ซึ่งถูกรุ่นพี่กระทำทารุณ (ที่อ้างหรูๆ ดูศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นการธำรงวินัยหรือซ่อม) จนเสียชีวิตว่า หากจะมาเรียนเตรียมทหารก็ต้องพร้อมรับการธำรงวินัย ตนเองก็เคยถูกซ่อมจนสลบมาแล้ว
และยังอ้างว่านักเรียนเตรียมทหารคนดังกล่าวไม่ได้เสียชีวิตเพราะถูกซ่อม แต่เกิดจากสุขภาพของผู้ตายเอง
คำพูดดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับคนในโลกโซเชียล รวมทั้งพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต
เพราะแทนที่จะมุ่งเป้าไปยังรุ่นพี่ที่กระทำทารุณเกินกว่าเหตุ กลับโยนว่าผู้ตายสุขภาพไม่แข็งแรงเอง ในที่สุดทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมาขอโทษ
ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า พล.อ.ประวิตรจะก่อวิกฤตให้รัฐบาลผ่านคำพูดอีกกี่ครั้ง
แต่ที่แน่ๆ แต่ละครั้งช่วย “ตัดแต้ม” รัฐบาลได้ชะงัดมาก เหมือนเตะฟุตบอลเข้าประตูตัวเองบ่อยๆ แบบคู่แข่งไม่ต้องออกแรง