เหตุผลที่เวิลด์คัพ 2018 เป็นฟุตบอลโลกที่เจ๋งสุดในประวัติศาสตร์

ฟุตบอลโลก 2018 ปิดฉากลงไปแล้ว ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกไปครองเป็นสมัยที่ 2 แบบไม่แพ้ใครตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ และมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นตลอด 1 เดือน

ซึ่งมีสถิติที่น่าสนใจหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเวิลด์คัพฉบับรัสเซีย เป็นเวิลด์คัพที่สนุก ดราม่า และครบรสที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

ภาพรวมความโดดเด่นของฟุตบอลโลกหนนี้มีอะไรบ้าง

มาดูกัน

ดราม่าที่สุด

ฟุตบอลโลกหนนี้มีการยิงประตูในนาทีท้ายๆ แบบดราม่ามากถึง 9 ประตู ซึ่งล้วนแต่เป็นการยิงประตูตัดสินผลแพ้ชนะหรือเอาตัวรอดไม่ให้ตกรอบไปได้สิ้น ถือว่ามากที่สุดกว่าฟุตบอลโลกทุกครั้ง “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ซัดฟรีคิกสุดสวยให้โปรตุเกสตีเสมอสเปน 3-3 ในนาทีที่ 88 หรือประตูชัยที่ “หลุยส์ ซัวเรซ” กองหน้าอุรุกวัยกดใส่ซาอุดีอาระเบีย นาทีที่ 89 และอิหร่านยิงประตูชัยชนะโมร็อกโก นาทีที่ 95 อีกประตูที่ลืมไม่ได้คือ ฟรีคิกของ “โทนี่ โครส” ที่กดใส่สวีเดนในช่วงทดเจ็บครึ่งหลัง วันนั้นเยอรมนีชนะ 2-1 และต่อลมหายใจไปได้อีก 3-4 วัน

การยิงประตูในช่วงท้ายเกมในฟุตบอลโลกหนอื่นๆ ที่มีจำนวนมากเป็นรองฟุตบอลโลก 2018 คือ ปี 2014 ยิงกันไปแค่ 4 ประตู และปี 1998 ก็ยิงกันเพียง 3 ประตูเท่านั้น

“ทีมใหญ่ไปก่อนวันอันควร”

การจะได้เห็นทีมเต็งพาเหรดตกรอบกันตั้งแต่ครึ่งทางไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ เยอรมนีตกรอบแรกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อาร์เจนตินา, สเปน, โปรตุเกส ที่มีนักเตะเวิลด์คลาสจอดป้ายแค่รอบ 16 ทีม บราซิลเต็ง 1 ก็ไปไกลถึงแค่รอบ 8 ทีม

นอกจากนั้น อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, ชิลี 3 ยักษ์ใหญ่ที่มีนักเตะดีๆ ก็ตกรอบคัดเลือกไปก่อนแล้ว ทิ้งให้อังกฤษ, โครเอเชีย, สวีเดน, รัสเซีย ที่ไม่ได้เข้ารอบลึกๆ บ่อยนัก สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ๆ ได้เยอะแยะทีเดียว

ซุป”ตาร์พากันสอบตก

ว่ากันว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ “ลิโอเนล เมสซี่” กัปตันทีมอาร์เจนตินา และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะลงเล่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะอายุอานามก็คงเข้าเลข 3 กันทั้งคู่ ทำให้มีแรงขับที่จะพาทีมคว้าแชมป์โลกให้ได้

เมสซี่ยิงไปแค่ประตูเดียว โรนัลโด้อาจจะยิงได้ถึง 4 ลูก แต่ไม่สามารถแบกทีมได้ตลอดรอดฝั่ง กลับบ้านด้วยผลงานเท่ากันที่รอบ 16 ทีม ขณะที่ “เนย์มาร์” นักเตะบราซิลที่ครองสถิติแข้งค่าตัวแพงที่สุดในโลก นอกจากจะเล่นไม่ได้อย่างที่หวังแล้ว ยังโดนวิจารณ์เรื่องการพุ่งล้ม และออกอาการเจ็บเกินความจริงในจังหวะโดนทำฟาวล์ ขณะที่นักเตะเยอรมนีเอง ก็แทบหาความโดดเด่นไม่เจอ “เมซุต โอซิล” เพลย์เมกเกอร์โดนจวกยับที่สุด ขณะที่ “ดาบิด เด เกอา” นายทวารสเปนที่ฟอร์มดีต่อเนื่องมากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังฟอร์มหลุดลุ่ย เสียประตูเป็นว่าเล่น

คนที่แจ้งเกิดเต็มตัวกลับเป็น “คีเลียน เอ็มบัปเป้” ดาวยิงฝรั่งเศส ที่ยิงได้ถึง 4 ลูก เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในรอบ 60 ปีที่ยิงประตูในรอบน็อกเอาต์ ด้วยอายุ 19 ปี 207 วัน เป็นรองเพียงเปเล่ ตำนานชาวบราซิเลียน ที่ยิงได้ในวันที่อายุ 17 ปี 248 วัน เมื่อปี 1958

วีเออาร์

VAR (video assistant referee) หรือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ตัดสินสามารถดูเทปย้อนหลังเพื่อการตัดสินในจังหวะสำคัญๆ ของเกม ซึ่งนำมาใช้ในฟุตบอลโลกหนนี้เป็นครั้งแรก

วีเออาร์เป็นทั้งผู้ให้และผู้ทำลายหลายทีม อาจจะโทษวีเออาร์ไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะทุกอย่างอยู่ที่วิจารณญาณของผู้ตัดสิน หลังจากดูเทปย้อนไปย้อนมาแล้วต่างหาก

เกมรอบชิงชนะเลิศ ฝรั่งเศสได้จุดโทษจากจังหวะแฮนด์บอลของอิวาน เปริซิช ปีกโครเอเชีย ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าสมควรได้หรือไม่ เพราะจังหวะไม่ได้ชัดเจน เป็นการขยับมือไปตามจังหวะของร่างกายหรือไม่ แต่กรรมการ “เนสเตอร์ ปิตาน่า” ก็ให้เป็นจุดโทษ และเป็นประตูขึ้นนำ 2-1 ของฝรั่งเศส ถือเป็นจุดโทษจากวีเออาร์ในฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศครั้งแรกอีกด้วย

ฟุตบอลโลก 2018 มีจุดโทษที่ยิงเข้าถึง 22 ประตู (จากจุดโทษทั้งหมด 29 ครั้ง) และเป็นจุดโทษจากการใช้วีเออาร์ 8 ประตู (จากการยิง 11 จุดโทษ ที่ใช้วีเออาร์ตัดสิน) แต่ 22 ประตูจากจุดโทษก็ถือว่าทำลายสถิติของทุกครั้งแบบราบคาบแล้ว

น่าสนใจว่าวีเออาร์จะปิดฉากไปพร้อมเวิลด์คัพ 2018 หรือยังจะได้ทำหน้าที่ต่อใน 4 ปีข้างหน้าที่กาตาร์?

“แฟนบอลสงบกว่าที่เคย”

รัสเซียก็คือรัสเซีย สามารถปิดภาพลบและหยุดความรุนแรงได้ด้วยกฎเหล็ก ฮูลิแกนรัสเซียถือเป็นกองเชียร์หัวรุนแรงอันตรายมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก แต่ในฟุตบอลโลก 2018 แทบไม่มีภาพการรุมสกรัมของแฟนบอลให้เห็นเลย

มีเสียงชื่นชมชาวรัสเซียว่าให้การต้อนรับแฟนบอลทั่วโลกอย่างอบอุ่น มีน้ำใจ ยิ้มแย้ม และให้ความช่วยเหลือยามจำเป็น

ขณะที่กองเชียร์จากหลายชาติก็เน้นความสนุกจากการดูบอลมากกว่าหาเรื่องใส่ตัว

ยิ่งได้เห็นกองเชียร์ญี่ปุ่นช่วยกันเก็บขยะหลังจบเกม (ซึ่งก็ทำมาเป็นประเพณีแล้ว) ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ฟุตบอลโลก 2018 ทั้งสนุก สะอาด และสงบไปในเวลาเดียวกัน